เธอเป็นสาวญี่ปุ่นผิวเหลือง ผมเรียกเธอว่า “เซก้า” ความสวยงามแบบ Japanese built นั้นทำให้ผมหลงใหลความงามแบบตะวันออกของเธอ โดยเฉพาะที่ดวงตาเฉี่ยวและสะโพกสวย
เธออยู่กับผมตั้งแต่ผมเรียนปีหนึ่ง และไม่ว่าผมจะต้องใช้เวลาเคี่ยวกรำในการเรียน การฟังเลคเชอร์ หรือต้องดีเฟนด์ กันขนาดไหนก็ตาม เธอยังคงเฝ้ารอผมอย่างอดทนเสมอ ผมนับถือน้ำใจเธอจริงๆ
ผมเลือกเธอเพราะเธอสวยแปลกแบบเอเชีย มีจริตจะก้านแปลกตา ในขณะที่เพื่อนๆร่วมมหาลัยของผมต่างก็พอใจสาวอเมริกันและยุโรปกันจนออกนอกหน้า พวกเขาเชื่อมั่นในรูปโฉมและช่วงล่างที่คิดว่าหนั่นหนาสมน้ำสมเนื้อกับพวกเขา
ผมไม่อาจเปลี่ยนความคิดของใครได้ ทุกวันและแทบทุกคืนในบ้านพักที่พวกเราอยู่ร่วมกันโดยที่ต้องเปลี่ยนเวรกันทำงานบ้าน เช่นล้างจาน ดูดฝุ่น ตัดหญ้าที่สนาม หรือปีนหลังคาขึ้นไปซ่อมจุดร้าวจุดแตก รวมไปถึงนัดหมายกันอ่านหนังสือหลายเล่มให้ทันก่อนเข้าเรียนตอนเช้าเพื่อเตรียมตอบคำถามของโปรเฟสเซอร์จอมโหดที่มักจะชี้นิ้วเรียกพวกเราเรียงตัวให้อธิบายเรื่องต่างๆที่ให้พวกเราไปค้นคว้ากันมา แม้จะเป็นเรื่องธรรมดาๆในมหาลัยแต่พวกเราก็แอบคิดไม่ได้ว่าโปรเฟสเซอร์จะเคี่ยวกรำพวกเราไปถึงไหนกัน(วะ) กระทั่งเมื่อเรียนจบมาแล้วเราถึงเข้าใจสิ่งนั้น
แต่...ระหว่างที่เราซึ่งทั้ง “เกรียน” และ “เรียน” กันอย่างหนักนั้นบรรดาสาวๆของพวกเราแต่ละคนต่างก็ยังคงรักมั่นซื่อสัตย์ต่อพวกเราไม่แปรเปลี่ยน
เวลาผ่านไปกระทั่งถึงวันที่พวกเราจบการศึกษา และผมคงต้องกลับบ้านสักที รวมทั้งเพื่อนคนอื่นที่ไม่ใช่คนที่นั่นก็ต้องเตรียมตัวกลับในไม่ช้า
“เฮ้ย ลุยขับรถมันจากแคลิฟอร์เนีย ผ่านเนวาด้า ลาสเวกัส แอริโซน่า ดัลลัส เดละแวร์ แล้วไปโผล่กันที่นิวยอร์กเถอะวะ ไหนๆก็จะจากกันแล้ว ไปลุยกันเถอะ พวกเอ็งจะจำประสบการณ์ครั้งนี้จนวันตาย”เจฟฟ์-ไอ้รูปหล่อขวัญใจสาวๆมหาลัยทั้งๆที่มันเรียนไม่เอาอ่าวแต่เล่น(อเมริกัน)ฟุตบอลเก่งบรรลัยพูดขึ้นมา
แปลกที่เวลาเจฟฟ์พูดอะไรสักอย่างจะมีคนขัดเสมอ แต่คราวนี้ทุกคนเห็นด้วยกับมัน...และท้ายที่สุดพวกหนุ่มๆอย่างผมและเพื่อนก็ต้องควงสาวของเราไปออกทริปสำคัญสามพันกว่าไมล์คราวนั้นด้วยกัน
ถ้าขับรถตะบี้ตะบันกันแบบไม่พักผ่อนเลยเราน่าจะลุยรวดเดียวตามระยะทางนั้นได้ภายในไม่เกิน 48 ชั่วโมง แต่ด้วยศักยภาพของพวกเรา (ตอนนั้น)ทำให้เราคิดว่าน่าจะใช้เวลาแบบเอ้อระเหยลอยชายไปๆมาๆเกินหนึ่งอาทิตย์หรืออาจจะสองอาทิตย์ด้วยซ้ำเพราะมีหลายจุดที่อยากเที่ยวแต่ไม่เคยได้เที่ยวตอนเรียน
ไอ้บิลบอกอยากแวะดูคฤหาสน์ของเอลวิส เพรสลีย์ที่เมมฟิสในดัลลัส ส่วนโอลาฟ-หนุ่มเยอรมันตาสีฟ้าผมสีทองอยากแวะที่เมืองลินช์เบอร์ก เคนตักกี้มันบอกว่าอยากไปจิบแจ็ค แดเนียลที่ต้นกำเนิดจริงๆ
ส่วนผมอยากแวะไปเฉียดๆแอเรีย 51เพราะตอนนั้นคลั่งเรื่องเอเลียนและพื้นที่หวงห้ามขนาดหนัก....
เหตุการณ์ทุกอย่างที่เกิดขึ้นในยุคกลางๆทศวรรษที่ 80 นั้นทำให้พวกคนหนุ่มอย่างเรารู้สึกคึกคักเสมอ...และอยากทำตามใจปรารถนา
เราออกเดินทางกันพร้อมสาวๆของพวกเรา...มันเป็นทริปที่ฮาเฮไม่น้อย หลายคนควักเอาเงินเก็บส่วนหนึ่งมาเป็นเงินกองกลางในการออกเที่ยวคราวนั้นด้วย ที่จริงก็น่าแปลกใจอยู่เหมือนกันว่าทั้งๆที่พวกเราคร่ำเคร่งเรียนกันหนักๆ แถมทำงานพิเศษกันด้วย ซึ่งดูท่าว่าไม่น่าจะมีเงินเก็บกันเท่าไหร่แต่จริงๆแล้วหลายปีที่อยู่ที่นั่นเรามีแบงก์เขียวๆกันไม่น้อย เวลาเอามาเทเป็นกองกลางนั้นพวกเราแทบไม่เชื่อสายตาเหมือนกัน
และในทริปเฉียดๆแอเรีย 51 นั่นเอง ที่ทำให้ผมต้องเสีย “เซก้า” สาวญี่ปุ่นผิวเหลืองที่อยู่กับผมมานาหลายปีไปแบบไม่มีวันได้หวนคืนมาอีก เธอป่วยหนัก พวกเราพยายามทำทุกทางให้เธอฟื้นขึ้นมา ผมกระซิบบอกเธอว่าเรายังต้องเดินทางกันอีกไกล เธอไม่น่าจากผมไปตอนนั้น มันเร็วเกินไปและเอาเข้าจริงแล้ว ผมอยากนำเธอกลับไปเมืองไทยกับผมด้วยถ้าทุกอย่างเหมาะสม
ท้ายที่สุดผมก็ไม่อาจยื้อชีวิตเธอได้อีกต่อไป...เธอจากผมไปในคืนเหงาๆในจุดที่อยู่ห่างถนนไม่เท่าไหร่ ผมและเพื่อนประคองเธอไปไว้ที่ถ้ำเล็กๆแห่งหนึ่ง แม้จะรู้ดีว่าจุดนั้นเป็นจุดล่อแหลมที่ทางการอเมริกัน-กองทัพอากาศที่นั่นมักจะส่งหน่วย คอมโมดู๊ด หรือพวกตรวจการณ์ออกมาตรวจพื้นที่หวงห้ามเสมอ รวมทั้งบ่อยครั้งที่เราเห็นเฮลิคอปเตอร์สีดำบินตรวจเหนือพื้นที่เป็นคราวๆ แต่ตราบใดที่พวกเราไม่ได้ล้ำเข้าในเขตหวงห้ามก็ไม่มีใครมาไล่เรา
ทุกคืนเราได้เห็นแสงสีจากการทดลองบิน ในท้องฟ้าแอเรีย 51 สลับกับยานบินต่างๆที่ไม่รู้ว่าเป็นพวกยูเอฟโอหรือพวกอะไรกันแน่ในโครงการลับที่มีเพียงประธานาธิบดีอเมริกันเท่านั้นที่รู้.....
คืนพิเศษนั้น ผมถอดสร้อยเทอร์คอยท์ไว้กับเซก้า นำผ้าคลุมร่างเธอพร้อมกล่าวอำลาเป็นครั้งสุดท้าย และจากเธอมาด้วยความรู้สึกที่บอกไม่ถูก มันเป็นทั้งความผูกพัน ความเข้าใจ ความอดทน และการดูแลซึ่งกันและกันตลอดเวลาที่ผมต้องวนเวียนอยู่ในมหาวิทยาลัยที่นั่น
“ตัดใจเถอะวะ พีท...เซก้าไปดีแล้ว...”เจฟฟ์ตบไหล่ผมเบาๆในช่วงเช้าระหว่างดื่มกาแฟหน้าจุดที่ผมเก็บซากแห่งความรักเอาไว้....
เราจากที่นั้นมาด้วยความรู้สึกที่แตกต่างกัน...เพียงไม่นานเพื่อนๆผมก็ฮาเฮกับอีกหลายสิ่งที่พบเจอตามรายทาง แน่นอนว่าสาวๆของพวกเพื่อนๆนั้นก็คงสนุกสนานกับเพื่อนผมไปด้วย ส่วนผมได้แต่นั่งอึ้งเมื่อจากจุดนั้นมา ผมเห็นจุดที่ทิ้งเซก้าไว้ในเนวาด้าเป็นจุดเล็กลงเรื่อยๆ กระทั่งเลือนหายไปจากสายตา
นับจากวันนั้น ผมอยากกลับไปหาเซก้า อยากไปดูร่างของเธอ แต่คงทำไม่ได้อีกแล้ว นั่นก็เพราะว่าพื้นที่ตรงนั้นถูกกองทัพอากาศอเมริกันประกาศขยายเขตเป็นพื้นที่หวงห้ามมากขึ้น มันกินบริเวณที่เซก้าที่รักของผมสถิตอยู่....
ผมหวังว่าเธอคงอยู่นิรันดร์ ณ จุดนั้น....ผมยังคิดถึงเธอเสมอ และหวังลึกๆว่า ผมอาจจะได้พบเธออีกสักครั้ง
ทุกวันนี้ .... เวลาผ่านมาหลายทศวรรษแล้ว...ผมยังคงได้แต่คิดถึงเธอเท่านั้น...อนิจจา
(หมายเหตุ 1.....และ เฉลย...เซก้า คือ เซลิก้า(เซลิก้าหรือซิลิก้าแปลว่าทราย และนี่คือชื่อของบทความว่า"ทราย") หรือ โตโยต้า เซลิก้า จีที เครื่อง 2000 ซีซี ที่เคยรับใช้ผมตอนเรียนหนังสือ เธอสิ้นลมเพราะสภาพเครื่องยนต์ไม่อาจซ่อมแซมได้อีกแล้ว รวมถึงเพลาขาด (เซลิก้าจีทีรุ่นท้ายเลียนแบบมัสแตงรุ่นนั้นขับเคลื่อนล้อหลังด้วยเพลายาว) จนไม่คุ้มที่จะซ่อมแซมกลางทะเลทราย)
(หมายเหตุ 2 ... สาวๆของพวกเราคือ รถทั้งหลายที่พวกเราซื้อมาแบบมือสองในราคาถูกๆตามประสานักศึกษาที่ไม่มีเงินถุงถัง แต่ละคันมีชื่อแบบผู้หญิงจริงๆ เพื่อนอเมริกันชอบรถแบบชาตินิยมซึ่งไม่พ้น เชฟโรเล็ตคามาโร – ปอนเตี๊ยกไฟเบิร์ด – มัสแตง และโอลด์สโมบิลคัทลาส มีคนหนึ่งใช้ลินคอล์น คอนติเนลตัลได้แค่เดือนเดียวพ่อก็มายึดคืนโดยไม่บอกสาเหตุ ส่วนเพื่อนที่มาจากยุโรป(ไม่รู้มันจะมากันทำไมที่บ้านมันก็มีมหาวิทยาลัยดังๆทั้งนั้น) ก็จะใช้วอลโว่-ซ้าบและเบนซ์รุ่น 220 D)
(หมายเหตุ 3...อ่านเรื่องนี้แล้วอย่าคิดมาก แค่อยากให้เห็นความรักในอีกรูปแบบหนึ่ง....ความที่เซลิก้าสีเหลืองมะนาวเป็นสีฮิตในยุคนั้น (แม้กระทั่งที่อเมริกา)ผมก็เลยอุปโลกน์ให้เป็นสาวญี่ปุ่นผิวเหลืองโดยตั้งชื่อว่า “เซก้า” ซึ่งมาจากชื่อเต็มว่าเซลิก้าตามที่บอกตอนต้น)
(หมายเหตุ 4 ... จบเถอะครับ เอามาให้อ่านกันเล่นๆ ตามประสาคนเคยมีความรัก)
(Pete@copyright)