Focus ฟ้า...Forecast ดวง...Forget เธอ
Retreat รัก...Retry her…Revise หวน
Consult โลก...Contra ตน...Control ทรวง
Rebuit จิต...Rebel ลวง...Recover ใคร
(Pete@copyright)
จุดจอดรถแห่งหนึ่งใน เยลโล่สโตน...
บนหลังคารถคันนั้น...ผมและซัลซา-สาวโคลัมเบียนมองตากันและกันอย่างมีความสุข เธอเอียงหน้าซบไหล่ผมพลางขยับนิ้วเกลี่ยเส้นผมที่ถูกลมทุ่งพัดจนยุ่งเป็นคราวๆ บ่อยครั้งที่เราสองคนมองขึ้นไปบนท้องฟ้าคืนเพ็ญ
ที่นอนบางเบาแต่อ่อนนุ่มรองรับน้ำหนักของเราสองคนได้ดีพอใช้ทำให้เราสามารถขึ้นมานอนชมวิวยามค่ำคืนในเยลโลสโตนได้ดีแทนที่จะมองมาจากด้านในรถ กลับไปเที่ยวนี้ผมต้องขอบใจบิลเป็นพิเศษที่ให้ยืมเจ้ามอเตอร์โฮมคันใหญ่นั้น
“ลองถามพระจันทร์ดูซิคะ” เธอพูดแบบนั้นตอนที่ผมนอนตะแคงดูดวงตาเธอราวกับจะค้นหาคำตอบที่ถามก่อนหน้า
สาวโคลัมเบียนในคืนเพ็ญของผมไม่เคยให้คำตอบใดๆกับผมทุกครั้งที่ผมถามเธอว่า “รักผมบ้างไหม?” บางทีเธออาจจะมีใครสักคนในใจหรือเปล่า?
สาวสวยที่สอบวิชาจิตวิทยาได้คะแนนดีอย่างเธอคงมีวิธีตอบตามแบบฉบับของเธอเอง ส่วนคนสอบคะแนนวิชานี้แบบฉิวเฉียดอย่างผมคงต้องเดาคำตอบเอาเองต่อไป ที่จริงแค่เธอตกปากรับคำมาเที่ยวกับผมก็สร้างความสุขให้ผมมากมายแล้ว
“เฮ้ย พีท เอ็งชอบสาวละตินเหรอวะ...”เจฟฟ์เคยถามผมแบบนั้น
“พีท เอ็งไม่รู้จริงๆเหรอวะว่าตอนนี้ที่โคลัมเบียกำลังระส่ำหนัก” บิลพูดแค่นั้น คงอยากจะพูดอะไรต่ออีกสักนิด แต่ก็ยั้งๆปากเอาไว้
ที่จริงผมนึกขอบใจเพื่อนๆปากเปราะทั้งหลายของผมอยู่เหมือนกัน ที่มันมักจะเตือนสติผมอยู่บ่อยๆ แต่ทำไงได้ผมเคยฝันๆเอาไว้ว่าอยากมีแฟนลูกผสมที่เป็นครึ่งๆยุโรปกับพวกพื้นเมืองอเมริกาใต้มานานแล้ว พอซัลซ่าตอบไมตรีผม...ทุกอย่างก็เข้าเป้าหมาย และพักหนึ่งผมกับเธอก็เดทกัน เรื่องมันมีประมาณนั้น
สาวรูปร่างดีอย่างเธอ เป็นเป้าหมายของใครต่อใครหลายคน แต่มาควงกับหนุ่มเอเชียอย่างผม แค่นี้ก็ทำให้ผมปลื้มตลอดช่วงซีมาสเตอร์สุดท้ายตอนปีสี่แล้ว
หลังวันเดทครั้งที่สาม ผมพาเธอนั่งเจ้าเซก้า(คงจำเซก้ากันได้นะครับ)ไปที่เนินเขาค่อนข้างสูงแห่งหนึ่ง เราลงจากรถแล้วนั่งบนชะง่อนผาปลายเนิน ที่ตรงนั้นเราเห็นเมืองเกือบค่อนเมืองในยามราตรี มันให้ฟิลลิ่งโรม้านซ์นิดๆ และนั่นเป็นครั้งแรกที่เธอเอียงแก้มซบไหล่ผม พร้อมพรั่งพรูเรื่องราวหลายอย่างออกจากปาก
“ซัลซ่าต้องกลับโบโกต้าทันทีที่เรียนจบค่ะ คงไม่มีโอกาสได้ไปทริปแคลิฟอร์เนีย-นิวยอร์กกับแก๊งของพีทแน่นอนแล้วละ” เธอบอกให้ผมรู้ล่วงหน้า ซึ่งก็ดีเหมือนกันเพราะผมจะได้รู้ตัวแต่เนิ่นๆ เพียงแต่รู้สึกเศร้าขึ้นมาติดหมัด
คืนนั้นเธอไม่ได้กลับบ้าน ผมเองก็ไม่ได้กลับหอ ไอ้พวกทโมนเพื่อนผมมันคงคอยอยู่เหมือนกัน แต่เราก็โตๆกันแล้วมันคงไม่ซักไซ้ไล่เลียงผมถ้าผมไม่ปริปากบอก
วันเวลาผ่านไปรวดเร็ว ก่อนเรียนจบสักเดือน เธอตกลงรับนัดผมเมื่อผมยืมรถมอเตอร์โฮมของบิลได้ รวมทั้งติดต่อที่พักที่เป็นแค้มป์ประเภทมอเตอร์โฮมพาร์คกิ้งพร้อมสรรพ แล้วเราสองคนก็เดินทางไปด้วยกัน ตอนนั้นผมรู้สึกว่าความสุขแบบครอบครัวหนุ่มสาวเป็นอย่างนี้นี่เอง
ที่นั่น...ซึ่งก็คือที่นี่ในคืนนี้...หากเป็นช่วงเช้าเธอจะปลุกผมด้วยคำกระซิบที่ข้างหู แรกๆผมรู้สึกเหมือนมีแมลงหวี่มาบินตอม กว่าจะรู้ว่าเธอมาปลุกผมด้วยชุดที่ล่อแหลมเหลือเกินผมก็เสียโอกาสในการทำอะไรวาบหวิวตอนเช้าไปแล้ว เพราะเธอจะบีบบังคับให้ผมกินเบค่อน สแคมเบิลเอ้ก แล้วก็กาแฟดำใส่นมสด
แม้มันจะเป็นอาหารเช้าแสนง่าย แต่มันกลับอร่อยพิลึกตอนที่เรานั่งกินกันไปแล้วก็มองตากันไปด้วย ผมแอบนับขนตาเธออย่างยากลำบากเพราะมันดกหนาคมเข้มสไตล์สาวละติน ส่วนเธอได้แต่จ้องมองตาสีดำแบบเอเชียของผมพร้อมยิ้มน่ารักๆ
เราจบมื้อเช้ากันอย่างสบายๆตอนแรก แต่ทุลักทุเลตอนที่ผมงอแงเพราะทนเสน่ห์สะโพกโคลัมเบียนสไตล์ไม่ไหว...แล้วทุกอย่างก็ดำเนินไปตามความสัมพันธ์แบบหนุ่มสาว
.................
คืนนี้เป็นคืนสุดท้ายแล้ว เราตัดสินใจขึ้นมานอนนับดาวกันบนหลังคามอเตอร์โฮม เราเอาที่นอนบางๆแต่อบอุ่นขึ้นไปด้วย และกะว่าจะนอนเล่นกันบนนั้นสักพักก่อนที่อากาศจะหนาวมากจากนั้นค่อยลงมานอนในรถแบบที่เราทำเป็นประจำทุกคืน
“คุณเชื่อว่าความรักมีอยู่จริงๆหรือพีท”เธอมองพระจันทร์เต็มดวงก่อนจะมองหน้าผม
ความนิ่งของผมคือสิ่งที่ผมอยากให้เธอพูดต่อ
“มันจะมีอยู่จริงหรือไม่ก็ตาม อย่างน้อย คืนนี้เราก็มีเวลาดีๆอยู่ด้วยกัน ใช้เวลาให้ดีที่สุด จดจำอารมณ์นี้ไว้นะคะ แล้วคุณจะได้คำตอบจากมันในที่สุด หรืออย่างน้อย ลองถามพระจันทร์ดูสิคะ บางที คำตอบอาจอยู่บนโน้นนะคะ”เธอพูดพร้อมเสียงสั่นเครือตอนท้ายๆ คล้ายเธอกำลังจะสื่อบางอย่างให้ผมรู้
คืนนั้น...เราไม่อาจนอนทนหนาวบนหลังคาได้นานเท่าไหร่...สุดท้ายต้องลงมานอนในรถแล้วมองท้องฟ้าผ่านสกายรูฟ
เราคุยกันเงียบๆ ถ่ายทอดไออุ่นระหว่างกัน กระซิบคำหวาน และปล่อยให้ธรรมชาติทำหน้าที่ของมันอย่างที่ควรเป็น....จากนั้นผมหลับไปตอนไหนไม่รู้
กระทั่ง...กลางดึก....ผมตื่นขึ้นมาเพราะอะไรบางอย่าง...แต่...ยังไม่ขยับตัว ..และคงหรี่ตาเล็กน้อย ผมเห็นซัลซ่านอนตะแคงหันหน้ามาทางผม เธอร้องไห้เบาๆ น้ำตาไหลเป็นทาง...นิ้วชี้มือซ้ายของเธอวางที่กลางอกผม(เธอถนัดซ้าย) แล้วลากเบาๆไปตามแผงอกเป็นตัวอักษรชุดหนึ่ง
ผมกล้ำกลืนบางสิ่งบางอย่างในคอ ไม่กล้าทัก ไม่กล้าพูด แต่สัมผัสได้ว่าเธอเขียนคำว่าอะไรลงกลางอก ผมไม่รู้ว่าทำไมเธอไม่ยอมพูดคำนี้กับผม แต่ให้ผมไปถามพระจันทร์ และทำไมเธอถึงทำสิ่งที่กำลังทำกับผมอยู่ในตอนนี้
เสียงสะอื้นของเธอแผ่วเบาลง เธอจูบเบาๆที่แก้มผม น้ำตาของเธอหยดลงที่รอยจูบนั้นราวกับต้องการให้ทุกอย่างเป็นความลับ ...
ร่างเธอสั่นไหว...ก่อนจะตะแคงหันหลังให้ผม แล้วสะอื้นเบาๆ...เมื่อผมขยับตัวกอดเธอ....ยังสัมผัสได้ถึงเนื้อตัวที่สั่นไหว ผมกอดเธอแน่นราวกับไม่ต้องการให้เธอจากไป....จากนั้นผมก็ไม่รู้อะไรอีกเลย
เวลาผ่านไป การสอบเสร็จสิ้น ทุกชีวิตมีทางของตนเอง ซัลซ่าเดินทางกลับทันทีหลังสอบเสร็จ
“จะกลับมาฉลองกันที่นี่อีกทีค่ะ รอด้วยนะคะ”ซัลซ่าบอกแบบนั้น ผมไม่สังหรณ์ใจสักนิดว่านั่นเป็นการได้กอดเธอที่สนานบินเป็นครั้งสุดท้าย
เรามารู้ทีหลังว่าเธอเป็นญาติของพาโบล เอสโคบาร์-เจ้าพ่อยาเสพติดของโคลัมเบีย เขาต้องการให้ญาติสาวอย่างซัลซาได้แต่งงานกับใครบางคนในก๊วนของเขา....และจากนั้นเราไม่เคยได้ข่าวจากเธออีกเลย ทุกอย่างกลายเป็นเรื่องปริศนาดำมืดเมื่อพูดถึงธุรกิจในโคลัมเบียยุคมิดเอกตี้ส์หรือยุคกลางๆ 80 จดหมายทุกฉบับ โทรศัพท์ทุกสาย ไม่เคยถึงมือคนที่อยู่ในเครือข่ายนั้น.....
ซัลซ่าหายไปจากชีวิตของใครต่อใคร รวมทั้งผมด้วย....แต่ผมยังจำคำโดนใจที่รอยนิ้วของเธอที่ลากไปบนแผงอกได้ดี รวมถึงหยดน้ำตาบนรอยจูบนั้น....
ไม่นานมานี้ ผมมีโอกาสได้โทรศัพท์คุยกับเจฟฟ์ เราคุยกันหลายเรื่อง รวมทั้งเรื่องห่วยแตกสารพัดที่เราไปทำงามหน้ากันที่เทนเนสซีด้วย(วันหลังจะเล่าให้ฟัง) กระทั่งเกือบจะวางสายกันแล้ว เจฟฟ์ก็บอกว่า มีบางเรื่องอยากจะบอกว่ะพีท ทำใจด้วยก็แล้วกัน
“พีทโว้ย แฟนโคลัมเบียนของเองไปสวรรค์แล้วนะ” เจฟฟ์พูดเบาเกือบไม่ได้ยิน
“อย่ามาอำน่า เขาสวยและแข็งแรงออกอย่างนั้น...”ผมพูดแต่ใจสั่นรัวแล้ว
“ตอนแรกก็คิดว่าอำนะ แต่เอ็งก็รู้ว่าอาจารย์มหาลัยอย่างข้าน่ะ ต้องทำหน้าที่สัมภาษณ์เด็กเข้าเรียนใหม่ทุกปีอยู่แล้ว ปีนี้เจอเด็กโคลัมเบียดูคล้ายแฟนเอ็งในอดีตเลย พอข้าให้เล่าเรื่องเกี่ยวกับโคลัมเบียให้ฟังเท่านั้นหล่อนจ้อน่าดู มีโชว์รูปด้วย” มันพูดไปเรื่อย ผมฟังเพลินแต่ไม่เห็นจะเกี่ยวอะไรเลย
“ฟังนะพีท....พอข้าถามว่าทำไมถึงเลือกเรียนที่นี่ เด็กคนนั้นบอกว่าป้าเขาเคยเรียนที่นี่ แถมโชว์รูปด้วย ข้าจำได้ว่าเป็นรูปแฟนเอ็งเต็มตา” เจฟฟ์เล่าช้าๆ
มันบอกว่าพอจะติดต่อป้าให้หน่อยได้ไหม เพราะเป็น Alumni and Alumnae ของที่นี่ด้วย ...พอเด็กบอกว่าเสียชีวิตไปแล้วพร้อมโชว์ภาพพิธีศพเท่านั้น ข้าซึมไปเลย นึกว่าจะได้คุยกับซัลซ่าสักหน่อยเลยขอโหลดภาพงานนั้นเก็บไว้เผื่อใครสักคนอย่างเอ็งอยากจะดูบ้าง ว่าแต่ว่ายังอยากดูหรือเปล่า
ผมขอร้องให้เจฟฟ์ส่งรูปเหล่านั้นมาให้ผมทางเฟซบุ๊ค ไอ้เพื่อนรักก็ส่งมาให้ทั้งชุด
เมื่อได้เห็นภาพ.....
ผมเริ่มจะทำใจได้ แต่ก็ตกใจไม่น้อย แต่ที่ตกใจยิ่งกว่าก็คือภาพหินหลุมศพของซัลซ่าที่มีถ้อยคำจารึกเป็นปริศนาเอาไว้ว่า “ซัลซ่า โรดิเกรซ ชาตะ.... มรณะ.... ฉันมิอาจบอกเขาได้ แต่ปลายนิ้วของฉันมันบอกเขาไปแล้วที่เยลโล่สโตน”
น้ำตาผมไหลออกมาไม่รู้ตัว...แม้ไม่มีรอยจูบของซัลซ่ารออยู่ตามทางไหลของน้ำตา...แต่ผมสัมผัสสิ่งนั้นได้...
ผมโกรธตัวเองที่ไม่ลุกขึ้นมาพูดกับเธอในคืนที่เราอยู่ด้วยกันที่แกรนด์ แคนยอน-เยลโลสโตน
มันผ่านไปแล้ว มันผ่านไปแล้วจริงๆ
(Pete@copyright)