ตอนนั้นผมยังอายุไม่เต็มยี่สิบดี...ส่วนเธอคงปลายๆยี่สิบแล้ว
ผมมองเธอแทบทุกวัน เวลาที่เธอลงปอนเตี๊ยกทรานแอมสีแดงสดนั้นผมไม่ได้ลุ้นเห็นขาอ่อนหรือกางเกงในเธอแบบที่เพื่อนๆจอมห่ามของผมชอบทำและมักสะกิดให้ผมทำตามพวกมัน แต่ผมกลัวเธอจะเห็นผมเป็น “คนไม่ดี” หรือ “คนทะลึ่ง” แล้วเธอจะ “ไม่สนใจผม”มากกว่า
แน่นอนว่าผมไม่อยากมองจุดที่เพื่อนๆผมมันชอบโฟกัสกัน แต่ผมจะมองที่หน้าตาและองค์ประกอบอื่นๆของเธอ และให้ตายเถอะ ผมอยากจะไปช่วยเธอหิ้วหนังสือหนาๆหลายๆเล่มลงจากรถด้วยซ้ำ แต่ผมยังรู้สึกเขินๆอยู่
กระทั่งคราวหนึ่ง คงเป็นช่วงราวๆสัปดาห์ที่สามที่ผมเรียนวิชาที่เธอสอน ตอนเธอสอนเสร็จแล้ว นักศึกษาต่างก็แยกย้ายกันออกจากห้องเรียนไปไหนต่อไหน แต่ผมยังมองไปที่อาจารย์สาวสวยท่านนั้น-เธอชื่อดอกเตอร์ลี...เธอคงเห็นสายตาหนุ่มเอเชียอย่างผมมองเธออยู่แบบเขินๆ ... เธออมยิ้มเล็กน้อย แต่ไม่มองหน้าผมตรงๆ จากนั้นเธอก็คว้าตำราหนาๆหนักๆหลายต่อหลายเล่มเดินตัวปลิวออกไปจากห้อง
หนังสือหนัก ลมแรง และรูปร่างอ้อนแอ้นแต่สูงโปร่งของเธอดุท่าจะไม่เหมาะสมกันเลย ผมมองตามด้วยความรู้สึกเป็นห่วง จากนั้นก็ออกเดินตามเธอห่างๆ จริงๆแล้วผมแอบชอบอาจารย์คนสวยนี้ไม่น้อย ผมบอกไม่ถูกเหมือนกันว่าทำไมต้องเป็นแบบนั้นด้วย แต่ผมรู้สึกว่าอยากจะกลายเป็นคนเรียบร้อยในสายตาของดอกเตอร์ลีทันตาเห็น...ย้ำ ไม่รู้ว่าทำไมเหมือนกัน
เธอเดินไปเกือบถึงรถแล้ว จู่ๆ หนังสือที่แบกมาหลายเล่มก็หลุดมือ แล้วก็ร่วงลงพื้นตามๆกันไปจนหมด..กระดาษชิ้ทต่างๆก็ปลิวไสว....เธอไล่คว้ามันวุ่นวาย
ผมไม่รู้ว่าลากตัวเองไปอยู่ตรงจุดนั้นได้อย่างไร และตอนไหน รู้เพียงว่าผมช่วยหากระดาษชิ้ทของเธอที่ปลิวไปไหนต่อไหนมาได้ครบ ทั้งยังช่วยเก็บหนังสือหนาๆหนักๆหลายๆเล่มของเธอรวบเข้าไว้ด้วยกัน จากนั้นไม่ปล่อยให้เธอถืออีกแล้ว หากแต่ผมทำหน้าที่ถือหนังสือเหล่านั้นให้เธอเอง
“ส่งมาให้อาจารย์เถอะ...อาจารย์ถือไปที่รถเองได้ค่ะ”เธอพูดเบาๆ สำเนียงชัดเว่อร์แบบสาวนิวยอร์กทั้งๆที่หน้าตาเธอเป็นเอเชียหวานๆ
ผมมองหน้าดอกเตอร์ลีเต็มตา สูดลมหายใจลึกๆราวกับจะเก็บอากาศรอบตัวเธอเอาไว้ให้หมด ลมพัดผมตรงยาวสีดำของเธอจนระหน้าตาไปชั่วขณะ...ผมมองภาพเธอราวกับจะเก็บภาพสวยๆนั้นไว้ในใจตลอดกาล ผมลืมเวลาไปชั่วขณะ กระทั่งเธอบอกให้ส่งหนังสือมาให้เธอเป็นครั้งที่สี่นั่นแหละผมถึงได้สติ
อาจารย์สาวหัวเราะเบาๆในความงกๆเงิ่นๆของผม...ตอนนั้นผมยังไม่ตอบอะไรเธอทั้งนั้นแต่เดินเคียงคู่เธอไปที่รถสีแดงคันเท่นั้น รอจนเธอไขกุญแจเปิดประตู เข้าไปนั่งในรถแล้ว ผมจึงเดินอ้อมไปเปิดประตูเตรียมวางหนังสือของอาจารย์ลงที่เบาะข้างคนขับ อาจารย์คนสวยบอก “ขอบใจ” จากนั้นผมจึงปิดประตูรถสีแดงนั้น
ผมมองรถดอกเตอร์ลีกระทั่งลับไปจากสายตา.....
จากนั้น...ผมไม่สนใจสาวๆคนไหนในมหาวิทยาลัย....ผมสนใจอ่านหนังสือวิชาของดอกเตอร์ลีมากเป็นพิเศษ เพื่อนๆร่วมหอพักสงสัยในความขยันของผม แต่ผมไม่ได้เล่าอะไรให้ใครฟัง...ทุกครั้งที่เข้าเรียนวิชาของอาจารย์หรือดอกเตอร์ลีผมมีความสุขมาก ผมตั้งใจเรียน ตั้งใจตอบคำถาม และส่งคำถามไปถามอาจารย์เป็นประจำ อาจารย์จะยิ้มน้อยๆก่อนตอบคำถาม จากนั้นก็มองมาทางผมเสมอๆ ผมได้แต่คิดเข้าข้างตัวเองตามประสาหนุ่มน้อยวัยเกือบๆยี่สิบที่มีความฝันบ้าๆบอๆไปตามเรื่อง
พออาจารย์สอนเสร็จ ผมจะเสนอหน้าไปช่วยอาจารย์แบกหนังสือหนาหนักไปที่รถของอาจารย์ทุกครั้ง....ผมมีความสุขมากจนไม่รู้ว่าหนังสือมันจะหนักไปถึงไหน ผมแกล้งเดินช้าๆ พร้อมถามคำถามในตำรากับอาจารย์ลีไปด้วย อาจารย์ก็ตอบผมทุกคำถามอย่างชัดเจนสมเป็นอาจารย์ที่เชียวชาญในวิชาที่สอนจริงๆ
บางครั้งเราเดินชิดกันจนลมแรงพัดผมยาวๆของอาจารย์มาโดนหน้าตาผมๆสัมผัสได้ถึงกลิ่นหอมจากเส้นผม กลิ่นหอมจากน้ำหอมที่อาจารย์ใส่ และผมชอบรอยยิ้มของอาจารย์ลีซึ่งเป็นอาจารย์ชาวไต้หวันที่ไปเรียนต่อปริญญาโทและเอกที่มหาวิทยาลัยระดับไอวีลีคที่อเมริกาจนจบดอกเตอร์ตั้งแต่อายุน้อยๆ....
ผมเคยสงสัยอยู่เหมือนกันว่าอาจารย์สวยและน่ารักแบบนั้นทำไมอาจารย์ยังไม่มีแฟนสักที ส่วนผมนั้นไม่กล้าคิดอะไรมาก แค่ได้เห็นได้เดินใกล้อาจารย์ก็สุขจนหัวใจแทบพองออกมานอกอกแล้ว....ใจนึกอยากจะหยุดเวลาแค่นั้น
ผมคิดเรื่อยเปื่อยๆกระทั่งวางหนังสือบนเบาะหน้ารถอาจารย์ แล้วอาจารย์ก็ขับรถออกไป ส่วนผมยืนปลื้มอยู่ตรงนั้น แต่คราวนี้มีอะไรแปลกๆเพราะแทนที่แกจะขับรถออกจากมหาวิทยาลัย แกกลับวนรถกลับมาที่ผม
“นั่งรถไปกับอาจารย์สิ....จะไปส่ง” อาจารย์หน้าสวยปากแดงจิ้มลิ้มพูดเบาๆ จนผมแทบไม่เชื่อหู
กระทั่งอาจารย์พูดซ้ำอีกครั้งผมจึงเปิดประตูรถนั่งไปกับแกด้วย ผมนั่งตัวเกร็งในรถ พยายามทำตัวให้เรียบร้อยที่สุด ไม่รู้ว่าเพราะอะไร แต่ที่ดีมากก็คือผมได้เห็นอาจารย์ใกล้ๆ แบบเงียบๆ ไม่มีเสียงกระโตกกระตากจากรอบทิศทางเหมือนเดินตามทางเดินในมหาวิทยาลัย มีเพียงเสียงเพลงเบาๆ
อาจารย์ลีคุยเก่งมาก คงเป็นเพราะอาจารย์ต้องใช้คำพูดตลอดเวลา...ทั้งสอน ทั้งเสนองาน และทั้งรับงานนอกด้วย....อาจารย์ช่วยให้ผมหายประหม่าไปได้เยอะแยะ.... อาจารย์ถามผมหลายเรื่อง พอรู้ว่าผมต้องทำงานพิเศษเพื่อหาเงินทองมาจ่ายเป็นค่าติวเตอร์ก็แสดงอาการเป็นห่วงอยู่บ้าง ผมยิ่งรู้สึกดีที่แกรู้สึกดีๆกับผม
“มีอะไรให้ครูช่วยได้ก็อย่าเกรงใจนะ...เราคนเอเชียด้วยกัน วัฒนธรรมก็ต่างจากพวกตะวันตก....เอ้อ แล้วเรื่องงานการพิเศษน่ะ เธอต้องรักษาสุขภาพด้วยนะ ไม่งั้นจะป่วยไข้จะมาเรียนหนังสือไม่ได้”อาจารย์แสดงความเป็นห่วงก่อนจะปล่อยผมลงที่ปั๊มน้ำมันแห่งหนึ่งซึ่งเป็นที่ๆผมต้องไปทำงานพิเศษเป็นเด็กเติมน้ำมันช่วงหัวค่ำ
ผมบอกอาจารย์ว่าหลังเลิกเรียนแล้วผมมาจับหัวจ่ายเต็มน้ำมันที่ปั๊มน้ำมันแห่งนั้น ที่นั่นลูกค้าครึ่งหนึ่งจะจับหัวจ่ายเติมน้ำมันเอง แต่ก็มีอีกครึ่งหนึ่งที่ชอบให้คนอื่นเติมให้โดยยอมจ่ายค่าน้ำมันต่อลิตรแพงมากขึ้น แต่ก็คุ้มเพราะไม่ต้องเสียเวลาออกมานอกรถ บางทีหากหิมะตกก็ไม่ต้องลุยหิมะมาเติมน้ำมันเอง แต่ได้คนอย่างพวกผมนี่แหละที่มาเซอร์วิสให้....
คืนวันจันทร์ถึงศุกร์ผมอยู่ที่ปั๊มน้ำมัน พอเสาร์อาทิตย์ผมไปเป็นเด็กเสริฟที่ร้านอาหารไทยซึ่งก็ค่อยยังชั่วกว่าอยู่ในปั๊มเพราะได้กินอาหารฟรีมีทิปพิเศษแต่เจ้าของก็จ้างผมแค่เสาร์-อาทิตย์เท่านั้น....
คืนวันพฤหัส...คืนนั้นหิมะเริ่มตกหนัก ผมเองก็หนาวเหลือทน พอเติมน้ำมันให้ลูกค้ารายสุดท้ายเสร็จก็วิ่งไปหลบในห้องขายสินค้าพอให้ได้ไออุ่นสักหน่อย... สักพักหิมะเริ่มตกหนักมากขึ้น ผมคิดว่าคงไม่มีรถมาเติมน้ำมันแล้ว อีกทั้งเวลาทำงานพิเศษของผมก็ใกล้หมดแล้วเหลืออีกแค่ 5 นาทีเท่านั้น....จู่ๆก็มีรถสีแดงเลี้ยวเข้าปั๊มมา
ผมจำได้ว่าเป็นรถของอาจารย์ลี..โปรเฟซเซอร์คนสวยในดวงใจของผมนั่นเอง....อาจารย์แวะเอาแซนวิชกับกาแฟร้อนใส่กระติกโลหะเล็กๆมาให้ผมด้วย....ผมยกมือไหว้ขอบคุณแกตามประสาคนไทย
“เลิกงานแล้วยัง...ถ้าเลิกแล้วไปบ้านครูหน่อย”แกว่าแบบนั้น ผมดูนาฬิกา แล้วหันไปมองหน้าเจ้าของปั๊มๆพยักหน้าบอกว่ากลับได้แล้ว คงกลัวผมจะหนาวตายคาปั๊มอยู่เหมือนกัน และนั่นเองที่ทำให้ผมติดรถอาจารย์คนสวยออกมาจากปั๊ม
คืนนั้น ผมได้นั่งในห้องนั่งเล่นของบ้านพักอาจารย์ลี เวลาที่อาจารย์ถอดเสื้อโค้ทออกนั้น อาจารย์ดูน่ารักมาก รูปร่างอ้อนแอ้น สูงโปร่งผิวขาวทำให้ผมรู้สึกดีที่ได้มองคนสวยๆแบบนั้นโดยไม่มีใครมาแย่งมอง(ผมมักคิดแบบนั้นเป็นบางคราว) อาจารย์เอาของกินหลายอย่างออกมา แล้วก็ตั้งหน้าตั้งตาตอบคำถามหลายอย่างเกี่ยวกับเรื่องเรียนตามที่ผมสอบถามไป....
ผมรู้ว่าถ้าผมไม่เอาเรื่องเรียนมาเป็นข้ออ้าง บางทีอาจารย์หรือไม่ก็ผมคงเขินแหลก เพราะมันแทบไม่มีประเด็นที่จะทำให้หนุ่มเอเชียกับสาวเอเชียคุยกันตอนสามทุ่มกว่าๆได้สนิทใจเท่ากับเอาเรื่องเรียนมาอ้าง....
.
สี่ทุ่มครึ่งแล้ว...ผมขอตัวกลับบ้าน ทั้งๆที่ยังไม่อยากกลับ แต่ผมกลัวอาจารย์จะเสียหาย....ทั้งๆที่อาจารย์ลีไม่ได้มีทีท่าว่าจะให้ผมกลับแต่ผมก็ต้องทำ....ผมรู้สึกดีกับอาจารย์จนไม่อยากให้ใครมาว่าอาจารย์ที่รักของผมได้....ผมหายใจลึกๆ นี่คงเป็นเรื่องแย่ๆหรือเรื่องยากๆกันแน่ที่ผมแอบรักอาจารย์ที่สอนหนังสือจนแทบไม่มีพื้นที่เหลือให้สาวคนไหนอีกแล้วในชีวิต หลายสัปดาห์ที่ผ่านมาผมเห็นแต่หน้าสวยๆขาวๆของอาจารย์มาตลอด(ถ้าเปรียบเป็นสาวๆสมัยนี้ผมว่าอาจารย์ลีคงหน้าตาแบบ คิมแตฮี นะครับ แบบว่า ตาโตๆ ปากแดงๆ ยิ้มน่ารัก ผมยาวตรง เฮ้อ คิดแล้วก็อดหวั่นไหวไม่ได้)
เพื่อนๆร่วมก๊วนของผมเริ่มสังเกตพิรุธบางอย่าง....พวกมันไม่เห็นผมตามไปจีบสาวๆไหนๆในช่วงคืนวันเสาร์ตามที่เคยเลย....ผมแกล้งพูดไปเรื่อยว่ากลัวเรียนไม่ทัน กลัวเรียนไม่จบ ก็เลยขอตัวอ่านหนังสือ แต่เพื่อนๆมันก็รู้ว่าทำไมผมถึงอ่านแต่วิชาของอาจารย์ลีชนิดหัวปักหัวปำ....ทำไงได้ ผมเริ่มถลำลึกไปมากกว่าที่ผมเคยประมาณตัวเองเอาไว้แล้ว....
อีกราวสองอาทิตย์ก่อนสอบ ผมแทบไม่มีโอกาสได้คุยกับอาจารย์ลีเลย แกหลบหน้าผมเท่าที่จะหลบได้ ทุกครั้งที่อาจารย์หลบหน้าผม ใจผมแทบแหลกสลาย ผมไม่รู้ว่าไปเผลอทำอะไรให้อาจารย์โกรธหรือเกลียดเข้าตอนไหน ครั้นจะคุยกับแกๆก็หลบหน้าไปอย่างว่องไวทุกที....ผมเริ่มหมดกำลังใจไปเรื่อยๆ....
ผมมีเบอร์โทรของอาจารย์ แกเคยให้ไว้ตอนที่เคยบอกผมว่าถ้ามีปัญหาให้โทรไป แต่ผมไม่เคยโทร เพราะผมไม่เคยมีอะไรหนักใจเนื่องจากผมคุยกับแกโดยตรงมากกว่า แต่คืนนั้นผมคิดถึงอาจารย์มาก และอยากจะคุยกับแกบางเรื่อง
ผมโทรไปหลายครั้ง แต่ไม่มีคนรับสาย ...ยุคนั้นไม่มีโทรศัพท์มือถือแบบนี้...ผมต้องย่ำเท้าไปโทรนอกมหาวิทยาลัย ต้องฝ่าหิมะไป แต่ผมไม่หวั่นไม่สนใจว่ามันจะหนาวเพียงใด ขอเพียงให้อาจารย์รับสายเท่านั้น
สุดท้าย...คงเป็นโชคของผมที่ อาจารย์ลีรับสายจนได้....
.
“ฮัลโหล....ดอกเตอร์ลีรับสายค่ะ” อาจารย์พูดจากปลายสาย แต่ผมกลับไม่กล้าพอที่จะพูดอะไรลงไป เพราะสิ่งที่อยากจะพูดมันเป็นเรื่องที่หนุ่มวัยยิ่สิบไม่สมควรพูดกับอาจารย์สาววัย 28-29 ปีแม้แต่น้อย....ผมอยากบอกว่าผมคิดถึงอาจารย์มากๆ คิดถึงรอยยิ้ม คิดถึงเส้นผมดำขลับของอาจารย์ตอนที่อาจารย์ก้มหน้ามองตำราโดยไม่รู้ว่าผมแอบมองมาตลอด คิดถึงภาพตอนที่อาจารย์ใช้มือปัดผมตอนที่ลมแรงๆพัดมากระทบใบหน้า......
ผมกล้ำกลืนความกล้าลงคอ....ผมกำหูโทรศัพท์เอาไว้แบบนั้น....แต่ไม่กล้าพูดอะไร สุดท้ายผมก็แพ้ใจตัวเอง เดินฝ่าหิมะกลับไปนอนเดียวดายที่หอพักพร้อมกับแช่งด่าความไม่กล้าของตัวเองออกมาในใจ....
ผมนอนเป็นไข้หลายวันจากคราวที่ลุยหิมะเข้าๆออกๆกลัวๆกล้าๆในการออกไปโทรศัพท์ในคืนที่ผมเล่าให้ฟังนั่นเอง ผมไม่รับรู้อะไรเสียหลายวัน ไม่รับรู้กระทั่งข่าวใหญ่ระดับรัฐที่ลงข่าวเกี่ยวกับดอกเตอร์ลีคนสวยที่ผมหมายปอง
คืนที่สองหลังจากที่ผมป่วยไข้นั้น....อาจารย์ลีท่านน้อยอกน้อยใจเรื่องอะไรไม่ทราบได้ คืนนั้นท่านจากทุกคนไป โดยเฉพาะจากผมไปด้วยการคิดน้อยใจด้วยเรื่องที่ไม่มีคนทราบกระทั่งแกทำอัตวินิบาตกรรมด้วยการผูกคอตายในบ้านพัก......
ตำรวจสันนิษฐานว่า ดอกเตอร์ลีเกิดมีปมในใจเรื่องที่เคยถูกล่วงละเมิดทางเพศมาก่อนตอนเป็นวัยรุ่นที่ไต้หวัน ภาพเก่าๆนั้นกลับมาหลอกหลอนเธออยู่บ่อยๆตามประวัติการรักษาทางการแพทย์ที่ทางการอเมริกันเปิดเผยออกมา.....
เมื่อใดก็ตามที่ดอกเตอร์ลีจะจริงจังกับความรัก...ภาพอดีตที่เคยโดนคุกคามนั้นจะทำลายความเชื่อมั่นและทำให้เธอรู้สึกด้อยค่าเมื่อคิดจะรักใครสักคน.....ล่าสุด ไม่มีใครรู้ว่าดอกเตอร์ลีมีความรักหรือไม่...แต่ เธอตัดสินใจจบภาพหลอนในอดีตของเธอด้วยความตาย....ตำรวจแค่สันนิษฐานว่าเธออาจจะมีคนรักที่รอให้เธอกลับไปแต่งงานที่ไต้หวันอยู่ก็เป็นได้ แต่กระทั่งทุกวันนี้เรื่องนั้นก็ยังเป็นแค่ข้อสันนิษฐานเท่านั้น
ผมหายไข้โดยที่ไม่รู้เรื่องดังกล่าว เพื่อนๆต่างปิดข่าวกันเงียบ กระทั่งผมเปรยๆว่าจะไปหาอาจารย์ลีเท่านั้นเอง เพื่อนถึงได้ค่อยๆเล่าข่าวเหล่านั้นให้ผมรับรู้.....
ผมกลับป่วยหนักอีกรอบ....ผมไม่รู้ว่าดอกเตอร์ลีมีผมอยู่ในหัวใจของเธอหรือไม่....แต่เมื่อผมถามใจตัวผมเองแล้วผมให้คำตอบกับตัวเองได้ว่าผม....รักผู้หญิงวัยเกือบสามสิบคนหนึ่งได้ รักอย่างจริงใจ และยากที่จะเลือนไปได้....และถ้าผมโชคดีขนาดทำให้เธอรักผมได้ รวมทั้งถ้าผมรู้ว่าเธอเคยมีอดีตเป็นอย่างไรมาก่อน ผมจะบอกเธอทันทีว่าผมไม่สนใจอดีตทั้งหลายของเธอจริงๆ
รักของผมบริสุทธิ์เกินกว่าที่เธอจะคาดคิด....แต่...ผมไม่อาจพาเธอกลับมาฟังคำอธิบายของผมได้อีกแล้ว.....
ไม่ว่าเธอจะอยู่ที่ไหน ผมคิดว่าเธอรับรู้ได้ว่าผมรู้สึกอย่างไรกับเธอ....
(Pete@copyright)