Login
-
 view (558 )     comment (21 )     last update : 3/5/2560 0:06:07
Pete
รักต่างมุม – Different Angle’s Love

ตอนนั้นผมยังอายุไม่เต็มยี่สิบดี...ส่วนเธอคงปลายๆยี่สิบแล้ว

 

ผมมองเธอแทบทุกวัน เวลาที่เธอลงปอนเตี๊ยกทรานแอมสีแดงสดนั้นผมไม่ได้ลุ้นเห็นขาอ่อนหรือกางเกงในเธอแบบที่เพื่อนๆจอมห่ามของผมชอบทำและมักสะกิดให้ผมทำตามพวกมัน แต่ผมกลัวเธอจะเห็นผมเป็น “คนไม่ดี” หรือ “คนทะลึ่ง” แล้วเธอจะ “ไม่สนใจผม”มากกว่า

 

แน่นอนว่าผมไม่อยากมองจุดที่เพื่อนๆผมมันชอบโฟกัสกัน แต่ผมจะมองที่หน้าตาและองค์ประกอบอื่นๆของเธอ และให้ตายเถอะ ผมอยากจะไปช่วยเธอหิ้วหนังสือหนาๆหลายๆเล่มลงจากรถด้วยซ้ำ แต่ผมยังรู้สึกเขินๆอยู่

 

กระทั่งคราวหนึ่ง คงเป็นช่วงราวๆสัปดาห์ที่สามที่ผมเรียนวิชาที่เธอสอน ตอนเธอสอนเสร็จแล้ว นักศึกษาต่างก็แยกย้ายกันออกจากห้องเรียนไปไหนต่อไหน แต่ผมยังมองไปที่อาจารย์สาวสวยท่านนั้น-เธอชื่อดอกเตอร์ลี...เธอคงเห็นสายตาหนุ่มเอเชียอย่างผมมองเธออยู่แบบเขินๆ ... เธออมยิ้มเล็กน้อย แต่ไม่มองหน้าผมตรงๆ จากนั้นเธอก็คว้าตำราหนาๆหนักๆหลายต่อหลายเล่มเดินตัวปลิวออกไปจากห้อง

 

หนังสือหนัก ลมแรง และรูปร่างอ้อนแอ้นแต่สูงโปร่งของเธอดุท่าจะไม่เหมาะสมกันเลย ผมมองตามด้วยความรู้สึกเป็นห่วง จากนั้นก็ออกเดินตามเธอห่างๆ จริงๆแล้วผมแอบชอบอาจารย์คนสวยนี้ไม่น้อย ผมบอกไม่ถูกเหมือนกันว่าทำไมต้องเป็นแบบนั้นด้วย แต่ผมรู้สึกว่าอยากจะกลายเป็นคนเรียบร้อยในสายตาของดอกเตอร์ลีทันตาเห็น...ย้ำ  ไม่รู้ว่าทำไมเหมือนกัน

 

เธอเดินไปเกือบถึงรถแล้ว จู่ๆ หนังสือที่แบกมาหลายเล่มก็หลุดมือ แล้วก็ร่วงลงพื้นตามๆกันไปจนหมด..กระดาษชิ้ทต่างๆก็ปลิวไสว....เธอไล่คว้ามันวุ่นวาย

 

ผมไม่รู้ว่าลากตัวเองไปอยู่ตรงจุดนั้นได้อย่างไร และตอนไหน รู้เพียงว่าผมช่วยหากระดาษชิ้ทของเธอที่ปลิวไปไหนต่อไหนมาได้ครบ ทั้งยังช่วยเก็บหนังสือหนาๆหนักๆหลายๆเล่มของเธอรวบเข้าไว้ด้วยกัน จากนั้นไม่ปล่อยให้เธอถืออีกแล้ว หากแต่ผมทำหน้าที่ถือหนังสือเหล่านั้นให้เธอเอง

 

“ส่งมาให้อาจารย์เถอะ...อาจารย์ถือไปที่รถเองได้ค่ะ”เธอพูดเบาๆ สำเนียงชัดเว่อร์แบบสาวนิวยอร์กทั้งๆที่หน้าตาเธอเป็นเอเชียหวานๆ

 

ผมมองหน้าดอกเตอร์ลีเต็มตา สูดลมหายใจลึกๆราวกับจะเก็บอากาศรอบตัวเธอเอาไว้ให้หมด ลมพัดผมตรงยาวสีดำของเธอจนระหน้าตาไปชั่วขณะ...ผมมองภาพเธอราวกับจะเก็บภาพสวยๆนั้นไว้ในใจตลอดกาล ผมลืมเวลาไปชั่วขณะ กระทั่งเธอบอกให้ส่งหนังสือมาให้เธอเป็นครั้งที่สี่นั่นแหละผมถึงได้สติ

 

อาจารย์สาวหัวเราะเบาๆในความงกๆเงิ่นๆของผม...ตอนนั้นผมยังไม่ตอบอะไรเธอทั้งนั้นแต่เดินเคียงคู่เธอไปที่รถสีแดงคันเท่นั้น รอจนเธอไขกุญแจเปิดประตู เข้าไปนั่งในรถแล้ว ผมจึงเดินอ้อมไปเปิดประตูเตรียมวางหนังสือของอาจารย์ลงที่เบาะข้างคนขับ  อาจารย์คนสวยบอก “ขอบใจ” จากนั้นผมจึงปิดประตูรถสีแดงนั้น

 

ผมมองรถดอกเตอร์ลีกระทั่งลับไปจากสายตา.....

 

จากนั้น...ผมไม่สนใจสาวๆคนไหนในมหาวิทยาลัย....ผมสนใจอ่านหนังสือวิชาของดอกเตอร์ลีมากเป็นพิเศษ เพื่อนๆร่วมหอพักสงสัยในความขยันของผม แต่ผมไม่ได้เล่าอะไรให้ใครฟัง...ทุกครั้งที่เข้าเรียนวิชาของอาจารย์หรือดอกเตอร์ลีผมมีความสุขมาก ผมตั้งใจเรียน ตั้งใจตอบคำถาม และส่งคำถามไปถามอาจารย์เป็นประจำ  อาจารย์จะยิ้มน้อยๆก่อนตอบคำถาม จากนั้นก็มองมาทางผมเสมอๆ  ผมได้แต่คิดเข้าข้างตัวเองตามประสาหนุ่มน้อยวัยเกือบๆยี่สิบที่มีความฝันบ้าๆบอๆไปตามเรื่อง

 

พออาจารย์สอนเสร็จ ผมจะเสนอหน้าไปช่วยอาจารย์แบกหนังสือหนาหนักไปที่รถของอาจารย์ทุกครั้ง....ผมมีความสุขมากจนไม่รู้ว่าหนังสือมันจะหนักไปถึงไหน ผมแกล้งเดินช้าๆ พร้อมถามคำถามในตำรากับอาจารย์ลีไปด้วย อาจารย์ก็ตอบผมทุกคำถามอย่างชัดเจนสมเป็นอาจารย์ที่เชียวชาญในวิชาที่สอนจริงๆ

 

บางครั้งเราเดินชิดกันจนลมแรงพัดผมยาวๆของอาจารย์มาโดนหน้าตาผมๆสัมผัสได้ถึงกลิ่นหอมจากเส้นผม กลิ่นหอมจากน้ำหอมที่อาจารย์ใส่ และผมชอบรอยยิ้มของอาจารย์ลีซึ่งเป็นอาจารย์ชาวไต้หวันที่ไปเรียนต่อปริญญาโทและเอกที่มหาวิทยาลัยระดับไอวีลีคที่อเมริกาจนจบดอกเตอร์ตั้งแต่อายุน้อยๆ....

 

ผมเคยสงสัยอยู่เหมือนกันว่าอาจารย์สวยและน่ารักแบบนั้นทำไมอาจารย์ยังไม่มีแฟนสักที ส่วนผมนั้นไม่กล้าคิดอะไรมาก แค่ได้เห็นได้เดินใกล้อาจารย์ก็สุขจนหัวใจแทบพองออกมานอกอกแล้ว....ใจนึกอยากจะหยุดเวลาแค่นั้น

 

ผมคิดเรื่อยเปื่อยๆกระทั่งวางหนังสือบนเบาะหน้ารถอาจารย์ แล้วอาจารย์ก็ขับรถออกไป ส่วนผมยืนปลื้มอยู่ตรงนั้น  แต่คราวนี้มีอะไรแปลกๆเพราะแทนที่แกจะขับรถออกจากมหาวิทยาลัย แกกลับวนรถกลับมาที่ผม

 

“นั่งรถไปกับอาจารย์สิ....จะไปส่ง” อาจารย์หน้าสวยปากแดงจิ้มลิ้มพูดเบาๆ จนผมแทบไม่เชื่อหู

 

กระทั่งอาจารย์พูดซ้ำอีกครั้งผมจึงเปิดประตูรถนั่งไปกับแกด้วย   ผมนั่งตัวเกร็งในรถ พยายามทำตัวให้เรียบร้อยที่สุด ไม่รู้ว่าเพราะอะไร แต่ที่ดีมากก็คือผมได้เห็นอาจารย์ใกล้ๆ แบบเงียบๆ ไม่มีเสียงกระโตกกระตากจากรอบทิศทางเหมือนเดินตามทางเดินในมหาวิทยาลัย มีเพียงเสียงเพลงเบาๆ

 

อาจารย์ลีคุยเก่งมาก คงเป็นเพราะอาจารย์ต้องใช้คำพูดตลอดเวลา...ทั้งสอน ทั้งเสนองาน และทั้งรับงานนอกด้วย....อาจารย์ช่วยให้ผมหายประหม่าไปได้เยอะแยะ.... อาจารย์ถามผมหลายเรื่อง พอรู้ว่าผมต้องทำงานพิเศษเพื่อหาเงินทองมาจ่ายเป็นค่าติวเตอร์ก็แสดงอาการเป็นห่วงอยู่บ้าง ผมยิ่งรู้สึกดีที่แกรู้สึกดีๆกับผม

 

“มีอะไรให้ครูช่วยได้ก็อย่าเกรงใจนะ...เราคนเอเชียด้วยกัน วัฒนธรรมก็ต่างจากพวกตะวันตก....เอ้อ แล้วเรื่องงานการพิเศษน่ะ เธอต้องรักษาสุขภาพด้วยนะ ไม่งั้นจะป่วยไข้จะมาเรียนหนังสือไม่ได้”อาจารย์แสดงความเป็นห่วงก่อนจะปล่อยผมลงที่ปั๊มน้ำมันแห่งหนึ่งซึ่งเป็นที่ๆผมต้องไปทำงานพิเศษเป็นเด็กเติมน้ำมันช่วงหัวค่ำ

 

ผมบอกอาจารย์ว่าหลังเลิกเรียนแล้วผมมาจับหัวจ่ายเต็มน้ำมันที่ปั๊มน้ำมันแห่งนั้น ที่นั่นลูกค้าครึ่งหนึ่งจะจับหัวจ่ายเติมน้ำมันเอง แต่ก็มีอีกครึ่งหนึ่งที่ชอบให้คนอื่นเติมให้โดยยอมจ่ายค่าน้ำมันต่อลิตรแพงมากขึ้น แต่ก็คุ้มเพราะไม่ต้องเสียเวลาออกมานอกรถ บางทีหากหิมะตกก็ไม่ต้องลุยหิมะมาเติมน้ำมันเอง แต่ได้คนอย่างพวกผมนี่แหละที่มาเซอร์วิสให้....

 

คืนวันจันทร์ถึงศุกร์ผมอยู่ที่ปั๊มน้ำมัน พอเสาร์อาทิตย์ผมไปเป็นเด็กเสริฟที่ร้านอาหารไทยซึ่งก็ค่อยยังชั่วกว่าอยู่ในปั๊มเพราะได้กินอาหารฟรีมีทิปพิเศษแต่เจ้าของก็จ้างผมแค่เสาร์-อาทิตย์เท่านั้น....

 

คืนวันพฤหัส...คืนนั้นหิมะเริ่มตกหนัก ผมเองก็หนาวเหลือทน พอเติมน้ำมันให้ลูกค้ารายสุดท้ายเสร็จก็วิ่งไปหลบในห้องขายสินค้าพอให้ได้ไออุ่นสักหน่อย... สักพักหิมะเริ่มตกหนักมากขึ้น ผมคิดว่าคงไม่มีรถมาเติมน้ำมันแล้ว อีกทั้งเวลาทำงานพิเศษของผมก็ใกล้หมดแล้วเหลืออีกแค่ 5 นาทีเท่านั้น....จู่ๆก็มีรถสีแดงเลี้ยวเข้าปั๊มมา

 

ผมจำได้ว่าเป็นรถของอาจารย์ลี..โปรเฟซเซอร์คนสวยในดวงใจของผมนั่นเอง....อาจารย์แวะเอาแซนวิชกับกาแฟร้อนใส่กระติกโลหะเล็กๆมาให้ผมด้วย....ผมยกมือไหว้ขอบคุณแกตามประสาคนไทย

 

“เลิกงานแล้วยัง...ถ้าเลิกแล้วไปบ้านครูหน่อย”แกว่าแบบนั้น ผมดูนาฬิกา แล้วหันไปมองหน้าเจ้าของปั๊มๆพยักหน้าบอกว่ากลับได้แล้ว คงกลัวผมจะหนาวตายคาปั๊มอยู่เหมือนกัน และนั่นเองที่ทำให้ผมติดรถอาจารย์คนสวยออกมาจากปั๊ม

 

คืนนั้น ผมได้นั่งในห้องนั่งเล่นของบ้านพักอาจารย์ลี เวลาที่อาจารย์ถอดเสื้อโค้ทออกนั้น อาจารย์ดูน่ารักมาก รูปร่างอ้อนแอ้น สูงโปร่งผิวขาวทำให้ผมรู้สึกดีที่ได้มองคนสวยๆแบบนั้นโดยไม่มีใครมาแย่งมอง(ผมมักคิดแบบนั้นเป็นบางคราว) อาจารย์เอาของกินหลายอย่างออกมา แล้วก็ตั้งหน้าตั้งตาตอบคำถามหลายอย่างเกี่ยวกับเรื่องเรียนตามที่ผมสอบถามไป....

 

ผมรู้ว่าถ้าผมไม่เอาเรื่องเรียนมาเป็นข้ออ้าง บางทีอาจารย์หรือไม่ก็ผมคงเขินแหลก เพราะมันแทบไม่มีประเด็นที่จะทำให้หนุ่มเอเชียกับสาวเอเชียคุยกันตอนสามทุ่มกว่าๆได้สนิทใจเท่ากับเอาเรื่องเรียนมาอ้าง....

.

สี่ทุ่มครึ่งแล้ว...ผมขอตัวกลับบ้าน ทั้งๆที่ยังไม่อยากกลับ แต่ผมกลัวอาจารย์จะเสียหาย....ทั้งๆที่อาจารย์ลีไม่ได้มีทีท่าว่าจะให้ผมกลับแต่ผมก็ต้องทำ....ผมรู้สึกดีกับอาจารย์จนไม่อยากให้ใครมาว่าอาจารย์ที่รักของผมได้....ผมหายใจลึกๆ นี่คงเป็นเรื่องแย่ๆหรือเรื่องยากๆกันแน่ที่ผมแอบรักอาจารย์ที่สอนหนังสือจนแทบไม่มีพื้นที่เหลือให้สาวคนไหนอีกแล้วในชีวิต   หลายสัปดาห์ที่ผ่านมาผมเห็นแต่หน้าสวยๆขาวๆของอาจารย์มาตลอด(ถ้าเปรียบเป็นสาวๆสมัยนี้ผมว่าอาจารย์ลีคงหน้าตาแบบ คิมแตฮี นะครับ แบบว่า ตาโตๆ ปากแดงๆ ยิ้มน่ารัก ผมยาวตรง เฮ้อ คิดแล้วก็อดหวั่นไหวไม่ได้)

 

เพื่อนๆร่วมก๊วนของผมเริ่มสังเกตพิรุธบางอย่าง....พวกมันไม่เห็นผมตามไปจีบสาวๆไหนๆในช่วงคืนวันเสาร์ตามที่เคยเลย....ผมแกล้งพูดไปเรื่อยว่ากลัวเรียนไม่ทัน กลัวเรียนไม่จบ ก็เลยขอตัวอ่านหนังสือ แต่เพื่อนๆมันก็รู้ว่าทำไมผมถึงอ่านแต่วิชาของอาจารย์ลีชนิดหัวปักหัวปำ....ทำไงได้ ผมเริ่มถลำลึกไปมากกว่าที่ผมเคยประมาณตัวเองเอาไว้แล้ว....

 

อีกราวสองอาทิตย์ก่อนสอบ ผมแทบไม่มีโอกาสได้คุยกับอาจารย์ลีเลย  แกหลบหน้าผมเท่าที่จะหลบได้ ทุกครั้งที่อาจารย์หลบหน้าผม ใจผมแทบแหลกสลาย ผมไม่รู้ว่าไปเผลอทำอะไรให้อาจารย์โกรธหรือเกลียดเข้าตอนไหน ครั้นจะคุยกับแกๆก็หลบหน้าไปอย่างว่องไวทุกที....ผมเริ่มหมดกำลังใจไปเรื่อยๆ....

 

ผมมีเบอร์โทรของอาจารย์  แกเคยให้ไว้ตอนที่เคยบอกผมว่าถ้ามีปัญหาให้โทรไป แต่ผมไม่เคยโทร เพราะผมไม่เคยมีอะไรหนักใจเนื่องจากผมคุยกับแกโดยตรงมากกว่า  แต่คืนนั้นผมคิดถึงอาจารย์มาก และอยากจะคุยกับแกบางเรื่อง

 

ผมโทรไปหลายครั้ง แต่ไม่มีคนรับสาย ...ยุคนั้นไม่มีโทรศัพท์มือถือแบบนี้...ผมต้องย่ำเท้าไปโทรนอกมหาวิทยาลัย ต้องฝ่าหิมะไป แต่ผมไม่หวั่นไม่สนใจว่ามันจะหนาวเพียงใด ขอเพียงให้อาจารย์รับสายเท่านั้น

 

สุดท้าย...คงเป็นโชคของผมที่ อาจารย์ลีรับสายจนได้....

.

“ฮัลโหล....ดอกเตอร์ลีรับสายค่ะ” อาจารย์พูดจากปลายสาย แต่ผมกลับไม่กล้าพอที่จะพูดอะไรลงไป เพราะสิ่งที่อยากจะพูดมันเป็นเรื่องที่หนุ่มวัยยิ่สิบไม่สมควรพูดกับอาจารย์สาววัย 28-29 ปีแม้แต่น้อย....ผมอยากบอกว่าผมคิดถึงอาจารย์มากๆ คิดถึงรอยยิ้ม คิดถึงเส้นผมดำขลับของอาจารย์ตอนที่อาจารย์ก้มหน้ามองตำราโดยไม่รู้ว่าผมแอบมองมาตลอด คิดถึงภาพตอนที่อาจารย์ใช้มือปัดผมตอนที่ลมแรงๆพัดมากระทบใบหน้า......

 

ผมกล้ำกลืนความกล้าลงคอ....ผมกำหูโทรศัพท์เอาไว้แบบนั้น....แต่ไม่กล้าพูดอะไร  สุดท้ายผมก็แพ้ใจตัวเอง เดินฝ่าหิมะกลับไปนอนเดียวดายที่หอพักพร้อมกับแช่งด่าความไม่กล้าของตัวเองออกมาในใจ....

 

ผมนอนเป็นไข้หลายวันจากคราวที่ลุยหิมะเข้าๆออกๆกลัวๆกล้าๆในการออกไปโทรศัพท์ในคืนที่ผมเล่าให้ฟังนั่นเอง ผมไม่รับรู้อะไรเสียหลายวัน ไม่รับรู้กระทั่งข่าวใหญ่ระดับรัฐที่ลงข่าวเกี่ยวกับดอกเตอร์ลีคนสวยที่ผมหมายปอง

 

คืนที่สองหลังจากที่ผมป่วยไข้นั้น....อาจารย์ลีท่านน้อยอกน้อยใจเรื่องอะไรไม่ทราบได้  คืนนั้นท่านจากทุกคนไป โดยเฉพาะจากผมไปด้วยการคิดน้อยใจด้วยเรื่องที่ไม่มีคนทราบกระทั่งแกทำอัตวินิบาตกรรมด้วยการผูกคอตายในบ้านพัก......

 

ตำรวจสันนิษฐานว่า ดอกเตอร์ลีเกิดมีปมในใจเรื่องที่เคยถูกล่วงละเมิดทางเพศมาก่อนตอนเป็นวัยรุ่นที่ไต้หวัน ภาพเก่าๆนั้นกลับมาหลอกหลอนเธออยู่บ่อยๆตามประวัติการรักษาทางการแพทย์ที่ทางการอเมริกันเปิดเผยออกมา.....

 

เมื่อใดก็ตามที่ดอกเตอร์ลีจะจริงจังกับความรัก...ภาพอดีตที่เคยโดนคุกคามนั้นจะทำลายความเชื่อมั่นและทำให้เธอรู้สึกด้อยค่าเมื่อคิดจะรักใครสักคน.....ล่าสุด ไม่มีใครรู้ว่าดอกเตอร์ลีมีความรักหรือไม่...แต่ เธอตัดสินใจจบภาพหลอนในอดีตของเธอด้วยความตาย....ตำรวจแค่สันนิษฐานว่าเธออาจจะมีคนรักที่รอให้เธอกลับไปแต่งงานที่ไต้หวันอยู่ก็เป็นได้ แต่กระทั่งทุกวันนี้เรื่องนั้นก็ยังเป็นแค่ข้อสันนิษฐานเท่านั้น

 

ผมหายไข้โดยที่ไม่รู้เรื่องดังกล่าว เพื่อนๆต่างปิดข่าวกันเงียบ กระทั่งผมเปรยๆว่าจะไปหาอาจารย์ลีเท่านั้นเอง เพื่อนถึงได้ค่อยๆเล่าข่าวเหล่านั้นให้ผมรับรู้.....

 

ผมกลับป่วยหนักอีกรอบ....ผมไม่รู้ว่าดอกเตอร์ลีมีผมอยู่ในหัวใจของเธอหรือไม่....แต่เมื่อผมถามใจตัวผมเองแล้วผมให้คำตอบกับตัวเองได้ว่าผม....รักผู้หญิงวัยเกือบสามสิบคนหนึ่งได้ รักอย่างจริงใจ และยากที่จะเลือนไปได้....และถ้าผมโชคดีขนาดทำให้เธอรักผมได้ รวมทั้งถ้าผมรู้ว่าเธอเคยมีอดีตเป็นอย่างไรมาก่อน ผมจะบอกเธอทันทีว่าผมไม่สนใจอดีตทั้งหลายของเธอจริงๆ

 

รักของผมบริสุทธิ์เกินกว่าที่เธอจะคาดคิด....แต่...ผมไม่อาจพาเธอกลับมาฟังคำอธิบายของผมได้อีกแล้ว.....

 

ไม่ว่าเธอจะอยู่ที่ไหน ผมคิดว่าเธอรับรู้ได้ว่าผมรู้สึกอย่างไรกับเธอ....

(Pete@copyright)

ความคิดเห็น
ผู้แสดงความคิดเห็น

อ่านแล้วทุกตัวอักษร เมื่อเช้าไม่มีเวลาอ่าน แต่ตอนนี้อ่านจนจบ ไม่มีความคิดเห็นค่ะ
แสดงความคิดเห็นเมื่อ : 3/5/2560 9:32:18
ผู้แสดงความคิดเห็น

to Linie

ขอบคุณครับ....เรื่องแบบนี้เป็นโมเมนต์หนึ่งในชีวิต...มันเข้ามาแล้วก็ผ่านไป...เหมือนก้อนเมฆบนท้องฟ้าครับ...ส่วนเราจะเก็บภาพนั้นไว้ด้วยวิธีอะไร แล้วจะเอาภาพนั้นมาดูหรือเปล่า ทั้งหมดขึนอยู่กับอะไรหลายๆอย่าง

แต่ทุกสิ่งก็เหมือนก้อนเมฆครับ...ลอยผ่านไปหมดแล้ว
แสดงความคิดเห็นเมื่อ : 3/5/2560 9:35:04
ผู้แสดงความคิดเห็น

ใช่ค่ะ Pete ทุกคนมีโมเม้นที่แตกต่างกัน
1 ในโมเม้นนั้น น่าจำ หรือ น่าทบทวนกลับมาคิด
หรือ ฝืนที่จะลืม ก็แล้วแต่ล่ะคน แต่ใน
โมเม้นของ linie มันมีแต่ ต้องทำลืมสะ [เด่วทุกอย่าง]
จะผ่านไปเอง เอาน่า พรุ่งนี้ก้อเช้าอีกวันแระ
แสดงความคิดเห็นเมื่อ : 3/5/2560 9:43:18
ผู้แสดงความคิดเห็น

To Linie

You have so beautiful mind....impressed!

Thanks for sharing.
แสดงความคิดเห็นเมื่อ : 3/5/2560 9:48:34
ผู้แสดงความคิดเห็น

To JiPa

ไม่ได้แย่งซีนเลยครับ...แต่วางอายุเท่า ดร.ลี เป๊ะๆที่ 28-29 ปีเลย....แถมเด็กผมรองทรงพวกนั้นคงอ่อนแก่กว่าผมตอนอยู่ปี 1 ไม่เท่าไหร่ด้วย

เรื่องนี้คงถูกผมลืมไปแล้วถ้าไม่เผลอไปอ่านบันทึกเก่าๆเข้าให้...บันทึกแต่ละเล่มของผมมีอายุราวๆ 2 ปีครับ....แต่ละเล่มมี Code พิเศษเอาไว้ 555

ความทรงจำบางอย่างมีไว้สำหรับลืม หรือปล่อยให้เวลาผ่านไป แต่ ในวันที่เราผ่านวันเวลาไปนานแล้ว เราอาจมองเรื่องแบบนั้นเป็นคนละเรื่องกับตอนที่เกิดเหตุการณ์นั้นได้เสมอครับ....

Memory is timeless, but sometime worthless or meaningful...It depends จริงๆครับ
แสดงความคิดเห็นเมื่อ : 4/5/2560 0:14:44
ผู้แสดงความคิดเห็น

อ่านแล้วเศร้าจังเลยค่ะคุณพีท ดีนะค่ะอย่างน้อยความจรงจำก็ยังไม่เลือนหายื เก็บไว้ให้เราระลึกถึง
แสดงความคิดเห็นเมื่อ : 5/5/2560 7:49:19
ผู้แสดงความคิดเห็น

To Mam

มันเป็นความทรงจำคลุกฝุ่นและหยากไย่ไปนานแล้วครับ....ยกเว้นบางคราวเอามาปัดฝุ่นเขี่ยหยากไย่ออกก็ยังพอจำเค้าๆได้บ้าง

อีกบทหนึ่งในชีวิตครับ

ขอบคุณนะครับ
แสดงความคิดเห็นเมื่อ : 5/5/2560 9:07:30
ผู้แสดงความคิดเห็น

แรกทีเดียว อ่านไปเรื่อยๆ มาได้กลางเรื่องเริ่มเพ่ง อ่านต่อมาอีกหน่อยเริ่มเกิดมโน
กระทั่งถึงตอนจบ แบบกระชากใจ แนวหนังเกาหลี อ้าวแล้วกัน

เจ็บหนักหนาปานไหนน้ออออ ผูกคอตาย


แสดงความคิดเห็นเมื่อ : 6/5/2560 0:27:40
ผู้แสดงความคิดเห็น

ขออนุญาตคุณพิท กล่าวคำไว้อาลัยแด่ ครูลี
และรวมถึงคำขอโทษ ถึงจิปาครับ คือตอนนั้นผมยังเด็กมาก ไม่คิดว่าจิปาจะยังจำได้
แสดงความคิดเห็นเมื่อ : 6/5/2560 0:33:27
ผู้แสดงความคิดเห็น

To Khun Nu

โอ๊ยโหย...คุณนุออกตัวแรงจัง...เดี๋ยวจิปาผ่านมาทิ้งบอมบ์แน่ๆ

แสดงความคิดเห็นเมื่อ : 6/5/2560 2:22:20
ผู้แสดงความคิดเห็น

To.Khun Pete
Thanks for sharing sadness story.


To P'Jipa & Khun Nu.
จีบไม่ดูตาม้าตาเรือเลยนะคุณนุ เดี๋ยวโดนพี่จิปา กาหัวกระดาษนะ อิอิ
แสดงความคิดเห็นเมื่อ : 6/5/2560 8:44:47
ผู้แสดงความคิดเห็น

ช่วงนี้ใครถามหาผมรบกวนฝากแจ้งไปว่าผมลาบวช นะครับ
อยู่ม่ายได้แล้วเว้ยยยย. จิปาอย่าโกรธน๊าเดี๋ยวเลี้ยงกะทิทุเรียนนะนะ
แสดงความคิดเห็นเมื่อ : 6/5/2560 19:41:45
ผู้แสดงความคิดเห็น

To Por,

With my pleasure.
แสดงความคิดเห็นเมื่อ : 7/5/2560 1:55:54
ผู้แสดงความคิดเห็น

To Nu

Come back! Nothing to panic about.
แสดงความคิดเห็นเมื่อ : 8/5/2560 0:24:54
ผู้แสดงความคิดเห็น

To JiPa

Thanks for not throwing DURIAN BOMB here!
แสดงความคิดเห็นเมื่อ : 8/5/2560 0:27:26
ผู้แสดงความคิดเห็น

ค่อยๆย่อง...มาดูลาดเลา
แสดงความคิดเห็นเมื่อ : 10/5/2560 14:47:56
ผู้แสดงความคิดเห็น

Why not thing?some thing wrong!
แสดงความคิดเห็นเมื่อ : 10/5/2560 14:50:23
ผู้แสดงความคิดเห็น

@พี่จิปา
ไม่ถาม ไม่ถาม กลัวเปลือกทุเรียนทิ่มหน้า

@คุณมิน
คุณมินหายไปไหนอ่ะคะ
แสดงความคิดเห็นเมื่อ : 10/5/2560 20:45:15
ผู้แสดงความคิดเห็น

"I'm the curved horizon. .. and know my heart. Even a little fraction of love but love ..never dies " Thank you my love".
แสดงความคิดเห็นเมื่อ : 2/9/2562 13:17:55
ผู้แสดงความคิดเห็น

To Lee,

Coincidently shocked!

You've made me cry again....
แสดงความคิดเห็นเมื่อ : 2/9/2562 16:50:52