คืนเหงาเรากอดกัน... Hold me all night!
ผมดูนาฬิกาข้อมือ...มันปาเข้าไปทุ่มครึ่งแล้ว แต่ผมยังติดอยู่ที่ถนนใหญ่ ถ้ารถขยับไปถึงแยกซอยหน้าที่ห่างออกไปแค่ 50 เมตรผมก็จะเลี้ยวซ้ายเข้าซอยไปที่คอนโดที่เธออยู่แล้ว
แย่จริง ผมนัดเธอไว้ทุ่มตรง ว่าจะพาไปหาอะไรชิมกันแถวตลาดนัดรถไฟหลังซีคอน ก่อนหน้านั้นเธอบอกหมดจดจนผมแทบจดไม่ทันว่าเธออยากจะกินอะไรบ้าง
“ชิมเสร็จแล้วค่อยไปหาเค้กกับไอศกรีมอร่อยกินอีกนะคะ”เธอบอกไว้แบบนั้นก่อนจะหัวเราะอารมณ์ดี
นั่นเป็นความคาดหวังเมื่อหลายวันก่อน แต่ตอนนี้...นอกจากรถจะขยับแค่ทีละนิ้วสองนิ้วแล้ว ฝนเจ้ากรรมยังเทลงมาหนักหน่วงช่วยเพิ่มความยุ่งยากให้กับการเดินทางของผมเข้าไปอีก ตอนนั้นผมคิดว่ามันแค่ตกมาพอเป็นพิธี แต่พอคิดเสร็จพระพิรุณท่านก็ “จัดเต็ม” ด้วยการเทกระหน่ำหนักๆต่อเนื่อง แถมด้วยแสงแวบๆในความมืดคล้ายเป็นสัญญาณว่าจะมีฟ้าผ่าฟ้าร้องตามมาเป็นออปชั่นพิเศษอีก
สาวที่นัดผมไว้เริ่มโทรเข้ามาหาถี่มากขึ้น เหมือนเธอคงรู้ชะตากรรมว่าผมคงติดแหง็กอยู่ตรงนั้นอีกนาน รวมทั้งคงประเมินได้ว่าอีกพักใหญ่ถ้าโชคดีผมคงขับรถเข้าไปถึงคอนโดที่พักของเธอ...
ผมยังไม่หมดหวัง ทั้งที่ๆระดับน้ำบนถนนใหญ่เริ่มเปลี่ยนสภาพถนนเป็นคลอง และจากคลองกลายเป็นแม่น้ำที่เชื่อมทั้งถนนและพื้นที่โดยรอบให้กลายเป็นอ่างเก็บน้ำทันตาเห็น...เวลานั้นผมรู้ว่าอะไรเป็นซอยเป็นบ้านเป็นสิ่งก่อสร้างก็จากสิ่งที่อยู่เหนือน้ำเท่านั้น.....
“พี่หิวหรือเปล่าคะ น้องจะทำอะไรให้กินรองท้องไปก่อน”เธอถามมาตามสายขณะที่ผมเริ่มเห็นความหวังในการเลี้ยวเข้าซอยที่คอนโดแล้ว
“แล้วแต่น้องนะ...”ผมมักเรียกเธอว่า “น้อง” แบบนั้น อย่างน้อยก็ให้ความรู้สึกบางอย่างที่แน่นหนามั่นคงมากกว่าจะเปลี่ยนสรรพนามเป็นอย่างอื่น
“ค่ะ น้องจะชงกาแฟรอนะ เดี๋ยวเอาอะไรกินง่ายๆเวฟให้ก่อนก็แล้วกัน”เธอพูดปนห่วงใย...ผมจับความรู้สึกบางอย่างได้...
ขณะที่ดีใจว่าเลี้ยวเข้าซอยได้ ใจผมก็ต้องรีบสลายแทบไม่ทันเพราะระดับน้ำในซอยนั้นสูงกว่าถนนอีกหลายเปอร์เซ็นต์ แต่ตอนนั้นไม่มีอะไรมาเปลี่ยนใจผมได้แล้ว...ใบหน้าขาวๆ แก้มแดงๆ ตาแป๋วๆ มาโผล่อยู่ในจิตใต้สำนึกแล้ว ที่จริงเธอมาลอยอยู่ในความคิดถึงนานทั้งวันแล้ว อีกไม่กี่นาทีผมจะได้พบเธอทำให้ผมลืมอุปสรรคทุกอย่าง
“น้องเห็นรถพี่จากหน้าต่างคอนโดค่ะ” เธอส่งเสียงเข้ามาในมือถือ
“อย่าอำน่า...รู้ได้ไงว่าเป็นพี่ ข้างนอกมืดออกแบบนั้น”ผมสงสัย
“จะมีใครกี่คนขับรถฝ่าน้ำท่วมลึกขนาดนั้นเขามาในซอยตอนนี้....คงมีแต่คนบ้ามั้ง...น้องเห็นไฟหน้ารถพี่อยู่ติดระดับน้ำด้วยล่ะ”เธอยังมีอารมณ์ตลก แต่ผมชักใจเสีย เพราะเวลาอยู่ในรถแค่เสียงน้ำสาดโดนตัวถังคล้ายเรือแหวกน้ำก็หนักพอแล้ว ยิ่งได้มาเห็นภาพจากปากคำเธอผมยิ่งมึน
... ท้ายที่สุดผมก็มาถึงคอนโดของเธอจนได้...เมื่อมองออกไปนอกลานจอดรถสูงของคอนโดนั้น ผมเห็นตัวเองติดอยู่บนเกาะที่มีน้ำล้อมรอบ นึกตลกเหมือนกันที่ผมได้เที่ยวเกาะทั้งๆที่อยู่ในกรุงเทพแท้ๆ ให้มันได้อย่างนี้สิน่าแบ็งค๊อกไทยแลนด์
ห้องโถงคอนโด และคาเฟ่ชั้นล่างสุดของคอนโดนั้นไม่มีแม้แต่ที่จะยืน คงเพราะทุกคนติดเกาะเหมือนกันหมดและคงลุ้นอยากจะออกไปข้างนอกเพื่อหาอะไรกิน ไปทำธุระ หรือภารกิจต่างๆ ... ผมกำลังเก้ๆกังๆว่าจะไปอยู่ตรงไหนดี น้องสาวคนเก่งก็โทรเข้ามาอีก
“กดลิฟต์ขึ้นมาชั้น 11 เลยค่ะ” เธอว่า
“จะดีเหรอ...”ผมทักเพราะไม่อยากให้เธอต้องอึดอัดใจที่ต้องอยู่กับผมในห้อง
“จะกินกาแฟ กับขนมจีบซาลาเปามั้ย?” เธอส่งเสียงแข็ง
“มีเซเว่นบนนู้นด้วยเหรอ”ผมแย้งเบาๆ อยากให้เธออารมณ์ดี
“จะกินหรือไม่กินคะ...งั้นก็ออกทะเลไปเลยพี่ชาย”เธอสวนกลับมาตามธรรมชาติของเธอ
...............นั่นเอง ทำให้ผมไปโผล่ที่ชั้น 11 ก่อนจะโดนเธอดึงตัวเข้าห้องหน้าตาเฉย
“ที่ดึงเข้ามาเนี่ย ไม่ได้อ่อยนะคะพี่ชาย เห็นว่ายืนบิดอยู่หน้าลิฟต์ตั้งนานแล้ว ขืนปล่อยไว้แบบนั้น สงสัยอั้นฉี่ตายคาที่แน่”เธอพูดเหมือนรู้ และผมก็รู้เหมือนที่เธอพูด นั่นคือ...ไม่สนอะไรทั้งนั้นแต่ขอเข้าห้องน้ำทันทีเพราะหลายชั่วโมงที่อยู่บนรถติดๆแบบนั้นมันเหมือนใกล้จะตายให้ได้ถ้าไม่ได้เข้าห้องน้ำ
“มานั่งตรงนี้เลยค่ะ...แล้วกินกาแฟซะ พี่ชายเคยบอกว่าชอบแบบกาแฟดำใส่นมสดเท่านั้น นี่จัดเอาไว้ให้แล้ว แล้วก็โน่นขนมจีบ ซาลาเปา ดูแลตัวเองเลยนะคะ” เธอจูงมือผมไปนั่งบนโซฟา จัดหาของกินมาให้แล้วก็บรรยายเป็นฉาก ส่วนตัวเธอเองเดินไปหยิบอะไรบางอย่าง
ตอนนั้น ผมมองออกไปนอกหน้าต่าง เห็นเม็ดฝนสะท้อนแสงไฟในห้องดูงดงามแปลกตา ดูความมืดของกรุงเทพตอนหัวค่ำที่มีแสงสีของฟ้าแลบแปลบปลาบทั้งน่ากลัวและสวยงามปนกัน บางทีเสียงฟ้าร้องดั่งลั่นที่มาพร้อมกับอาการสั่นสะเทือนคล้ายมือยักษ์จับอาคารคอนโดนี้เขย่าแรงๆ...
ผมมองน้องสาวจากเบื้องหลัง...เธอใส่เสื้อแขนกุดสีดำมีฮู้ดน่ารักห้อยเบื้องหลัง กางเกงยีนสีน้ำตาลขาเดฟนั้นดูแนบเนื้อน่ารัก เธอง่วนอยู่กับการเก็บของบางอย่างก่อนจะหันมาทางผมเหมือนรู้ว่าโดนจ้องจากข้างหลัง...
บ่อยครั้งที่ผมรู้สึกกับเธอมากกว่าความเป็นน้องสาว ที่จริงแล้วเธอก็ไม่ใช่น้องสาวจริงๆไม่ว่าจะนับจากทางใดๆ คงเป็นเพื่อนร่วมโลกคนหนึ่งที่โชคชะตาพาให้รู้จักกัน แลกเปลี่ยนความคิดกัน และบางที...ผมแอบคิดไปเองว่าเธอคงชอบผมอยู่บ้าง....แต่ใจของเธอนั้น ผมไม่รู้จริงๆ เธอเคยบอกให้ผมเรียกชื่อเธอว่า “....” แต่ผมไม่เคยเรียกตามนั้น ผมอยากเรียกเธอว่า “น้อง” เท่านั้น เพราะอย่างน้อยคำๆนั้นก็เตือนไม่ให้ผมเตลิดไปไกลกว่าที่ควรจะเป็น
“มองอะไรคะพี่ชาย...”เธอกำลังจะพูดอะไรต่ออีกหลายคำ แต่จู่ๆก็มีเสียงดังเปรี้ยงสนั่น ตึกทั้งตึกโดนโยกเหมือนเกิดแผ่นดินไหว แสงไฟแลบบนท้องฟ้าเจิดจ้า แล้วทุกอย่างก็มืดดับเหมือนโลกถูกดับด้วยฤทธิ์ของ Armageddon
ความมืดปกคลุมทั่วห้อง ทั่วอาคาร เสียงฟ้าร้องยังคงดังสนั่นต่อเนื่อง....
บางสิ่งบางอย่างสะดุดที่เท้าของผมอย่างแรง ก่อนที่อะไรหนักๆจะตกลงบนตักผม
สิ่งที่ตกลงมานั้นคล้องแขนกอดคอผมไว้แน่น หน้าซุกอยู่ที่ไหล่และอกของผม เสียงฟ้าร้องยังดังต่อเนื่อง สลับกับแสงฟ้าผ่าน่ากลัวปรากฏอยู่ที่บานหน้าต่างที่เต็มไปด้วยเม็ดฝน ความมืดทำให้ทุกอย่างถูกกลืนในสีดำ ดูราวกับมันกลืนเอาเสียงและพลังงานทุกอย่างตามไปด้วย
เป็นสาวเจ้าของห้องนั่นเองที่กลัวและมองอะไรไม่เห็นในความมืดก่อนจะเดินสะดุด(เท้าผม)แล้วตกลงมาบนตัก
“กลัว” เธอพูดเบาๆแต่ยังซุกอกผมแน่นสองมือของเธอคล้องคอผมที่ยังไม่รู้จะเริ่มต้นอย่างไร.....
ในความมืด...เธอจับมือผมขึ้นมาแล้วนำไปแปะไว้ที่เอวเธอ ...นั่นเป็นการสื่อสัญญาณให้กอดเธอเอาไว้ ผมค่อยๆวางมือและแขนส่งความอุ่นให้เธอ แสงฟ้าแลบแต่ละครั้งทำให้ผมเห็นภาพใบหน้าอวบอิ่มซุกอกได้ถนัดมากขึ้น
เธอกลัวจนตัวสั่น...ที่จริงผมก็ไม่ชอบบรรยากาศฟ้าร้องแรงๆแบบนั้นเท่าไหร่ แต่คืนนั้นผมกลับขอบคุณฟ้าร้องมากที่สุดที่ส่งเสียงดังหลายเดซิเบลทะลุมิติมาเป็นใจให้ผม...แต่ผมก็คงทำได้แค่เป็น พี่ชาย เท่านั้น เพราะนั่นเป็นความตั้งใจแต่แรกแล้ว
ร่างเล็กๆของเธอสั่นสะท้าน และสั่นมากขึ้นเมื่อฟ้าร้องแรงๆไม่จบสิ้น
ความใกล้ชิดขนาดนั้น ผมสัมผัสร่างกายที่สั่นสะท้านของเธอและเปลี่ยนจากความหนาวเย็นเป็นอบอุ่นขึ้นทีละนิดๆ เธอยังคล้องมือกอดคอผมแน่น ขณะที่ผมโอบมือขวาทำหน้าที่คลุมร่างของเธอให้มากที่สุดเท่าที่ทำได้
“น้องหนาวค่ะ” เธอซุกร่างผมแน่นขึ้น
เมื่อเธอเงยหน้าขึ้นมา...แสงฟ้าแลบสว่างนานต่อเนื่อง ผมมองตาคู่ซุกซนของเธอราวกับจะเก็บภาพในโมเมนต์นั้นไว้ให้นานที่สุด เธอยิ้มน้อยๆเมื่อผมค่อยจูบลงไปที่หน้าผากเกลี้ยงๆของเธอ ตอนนั้นเธอหลับตาพริ้ม กอดผมแน่นมากขึ้น ลมหายใจของเธอที่แผ่วมาโดนเนื้อตัวผมนั้นทำให้ผมปั่นป่วนไม่น้อย
เรามองตากันในความมืด ผมไม่รู้ว่าเธอคิดอะไร...
“พี่คิดอะไรกับน้องหรือเปล่าคะ?”เธอมองตาผม คราวนี้เห็นชัดเจนเพราะฟ้าแลบต่อเนื่อง
ผมได้แต่ส่ายหน้า...ผมอยากจะแปลความหมายว่า “ไม่รู้” ... แต่เธอคงแปลว่า “ไม่คิด” และนั่นทำให้ หยาดใสๆเอ่อท้นและไหลออกที่ปลายหางตาสองข้าง
ผมกลืนน้ำลายคงคออย่างยากลำบากมาก....เธอหลับตาแล้ว ส่วนผมทำได้ดีที่สุดแค่จูบซ้ำน้ำตาที่หางตาสองข้างของเธอ
น้องคงไม่รู้ว่าให้มันอยู่แค่ตรงนี้จะดีที่สุดแล้ว ถ้ามันไปไกลกว่านั้น บางทีน้องอาจจะทุกข์มากกว่าตรงนี้ก็ได้...ผมพยายามข่มหลายสิ่งหลายอย่างในใจ พลางภาวนาขอให้ไฟฟ้าเจ้ากรรมมันติดขึ้นมาเสียที ตอนนั้น ผมเสี่ยงเหลือเกินที่จะกลายเป็นอะไรที่ไม่ใช่พี่ชายแล้ว
“น้องหนาว.....”เธอพูดอีกครั้ง.....
ผมลังเลใจว่าจะต่อสู้กับอะไรในใจอย่างไร....ท้ายที่สุด ผมเลือกถอดเสื้อแจ็คเก็ตตัวเองออกแล้วห่มคลุมร่างเล็กๆที่อยู่ในอ้อมกอดนั้น
เราคุยอะไรกันเบาๆ เธออบอุ่นขึ้น ผมถอนใจใหญ่ เธอบ่นหิว
“ทำไมพี่เลือกแค่นั่งกอดน้องตรงนี้คะ”เธอถามตามประสาคนช่างซัก ตอนนั้นเองผมรู้ทันทีว่าเธอกลับมาเป็นคนเดิมแล้ว
“พี่เลือกจะทำแบบนี้”
“พี่ไม่อยากทำแบบที่ใครๆเขาคิดเหรอค่ะ โอกาสมาถึงแล้ว”เธอซุกซน
“........!!!!????” ผมตอบเธอเบาๆ
เธอจูบปลายคางผม “พี่ไม่อยากได้กล่องของขวัญกล่องเล็กๆ พี่อยากได้กล่องใหญ่ขนาดดาวฤกษ์...พี่คิดแบบนั้นจริงหรือเปล่า?”เธอถามซนๆตามประสา
ผมไม่ตอบ...แต่ยังกอดเธอด้วยความอบอุ่น...ผมหวังให้เธอมีความสุขในแบบที่เธอเลือกมากกว่า...และผมรู้ว่าเธอไม่ได้เลือกที่จะทำอะไรฉาบฉวยในตอนนั้น....บางที เธอคงต้องการเวลาสักพัก หรือพักใหญ่ๆก่อนที่จะตัดสินใจ....
ผมให้เธอเป็นคนตัดสินใจเอง...ถ้าผมตัดสินใจแทนเธอคืนนี้ไปแล้ว....นั่นอาจเป็นการผลักเธอให้ไกลจากผมไปชั่วนิรันดร...แม้ผมจะไม่กล้าบอกความนัยสำคัญกับเธอจริงๆจังๆ....แต่ผมก็ยังอยากเห็นเธอมีความสุข ...ในแบบที่เธอเป็นคนเลือกเอง
.............คืนนั้น...ไฟฟ้ายังคงดับตลอดทั้งคืน…ฟ้ายังคงร้องครืนๆเหมือนส่งเสียงเออ-ออ กับคนทั้งคู่....ฝนยังคงกระหน่ำต่อเนื่อง...ลมหายใจอุ่นๆยังคงถูกเป่ารดแก้มสาวขาวนวล....อาการหนักใจบางอย่างยังคงเกิดขึ้นต่อเนื่อง
แต่ มันเป็นคืนที่หวานและโรแมนติกที่สุดเท่าที่ชายและหญิงคู่หนึ่งจะสัมผัสได้โดยที่ไม่ทำลายสัมพันธภาพที่อยากจะมีช่องว่างบางอย่างขวางเอาไว้บ้าง.....แต่ใครจะบอกได้ว่า มีอะไรจริงๆเกิดขึ้นในคืนนั้น.....
ผมกำลังจะขอให้เธอสารภาพความจริงบางอย่างจากใจของเธอ.....
..........เสียงนาฬิกาปลุกดังขึ้น...มันปลุกเสียงดังเรื่อยๆ ....กระทั่งทำให้ผมงัวเงียตื่นขึ้นมา
“เฮ้อ.....ฝันเตลิดเปิดเปิงไปถึงไหนต่อไหนเนี่ยเรา....”ผมยิ้มให้กับความฝันของตัวเอง....
อยากให้คืนนี้มีฝันภาคสองจัง...
(Pete@copyright)