Login
-
 view (821 )     comment (37 )     last update : 10/6/2560 1:23:25
Pete
ทำไม Mister Nice Guy ถึงโดนปฏิเสธ

ในโลกและมุมมองของความรักนั้น ใครๆก็อยากเป็นคนไนซ์ (Nice people) กันทั้งนั้น เพราะคนที่ไนซ์นั้นคือคนที่ดูสมบูรณ์แบบในสายตาของชาวโลก  ไม่ว่าทำอะไรก็ดูดีไปหมด และจะว่าไปแล้วคนที่ไนซ์หรือดีมากๆนั้นเป็นคนที่ทุกวงการต่างก็เปิดใจต้อนรับกันทั้งนั้น 

 

เราติดต่อธุรกิจก็อยากพบคนทีไนซ์มากๆ  เรียนหนังสือก็อยากพบอาจารย์ที่ไนซ์ ไปทานข้าวที่ภัตตาคารก็อยากได้รับการต้อนรับจากคนทีไนซ์ กระทั่งบางที่ยังคิดเลยว่าถ้ามีความรักก็อยากมีคนรักที่ไนซ์มากๆ

 

การพบเจอคนที่ไนซ์ในชีวิตไม่ใช่เรื่องผิดแต่อย่างใด  ที่จริงเป็นเรื่องดีด้วยซ้ำไป  เพราะเจอคนไนซ์หรือปฏิบัติต่อเราดีเท่าไหร่ก็ยิ่งทำให้หัวใจเป็นสุขเท่านั้น

 

เพราะอย่างนี้เองจึงทำให้ผู้ชายทั้งโลก(เน้น...ทั้งโลกไม่ว่าไทยหรือฝรั่ง-จีน-ญี่ปุ่น-แอฟริกัน ฯลฯ)ต่างก็อยากเป็นคนที่ไนซ์ที่สุดสำหรับคนที่ตนสนใจ โดยเฉพาะอย่างยิ่ง คนที่เป็นเป้าหมายในด้านความรัก

 

แบบนั้นเองที่ทำให้ผู้ชายที่อยากจะพิชิตใจสาวๆมักจะเดินสู่เส้นทางการเป็น ไนซ์กาย (Nice Guy)มากที่สุดเพื่อทำให้หญิงที่ตนรักได้รับการปฏิบัติอย่างดีที่สุดจากเขา  แน่นอนว่าเรื่องนี้เป็นเรื่องที่ผู้ชายโดยทั่วไปคิด และ ปฏิบัติกันอย่างจริงจัง

 

บรรทัดนี้บอกได้เลยว่า ถ้าผู้หญิงที่อ่านคอลัมน์นี้แล้วอยากจะรู้ว่า “หนึ่งในความคิดของผู้ชาย” คิดอะไรในเรื่องของความรักนั้น คำตอบหนึ่งในหลายๆเรื่องของผู้ชายก็คือ การทำตัวเป็นไนซ์กาย เพื่อให้ผู้หญิงชื่นชม ติดใจ และสานต่อสัมพันธภาพกัน

 

ผู้ชายคิดแบบนั้นจริงๆ..  และก็ไม่ผิดด้วยที่คิดแบบนั้นกัน เพราะ เรา(ผู้ชาย)ทั้งหลายต่างก็ถูกสอนมาตั้งแต่เด็กๆ(ตอนทีเป็นเด็กชาย)จากทุกสถาบันว่าต้องเป็นคนดี เป็นไนซ์กาย ช่วยเหลือทุกคนหรือทุกชีวิตเท่าที่จะที่ช่วยได้

 

แต่สิ่งที่ผู้ชาย “ลืมคิดไป” ก็คือ โลกนี้เต็มไปด้วยไนซ์กายอยู่แล้ว  เราสามารถพบไนซ์กายได้ในภัตตาคาร ในบริษัทต่างๆที่เราติดต่อด้วย ในบริษัททัวร์ที่เราต้องการให้เขาจัดการเรื่องการท่องเที่ยวให้เรา ในร้านตัดผมที่มีพนักงานดูแลเราราวกับเป็นเจ้าชาย-เจ้าหญิง และอีกหลายๆที่ๆต้องบอกว่าแทบทุกแห่งมีไนซ์กายเต็มไปหมด

 

แม้แต่ผู้หญิงที่กำลังมองหาความรักก็เช่นกัน เธอย่อมพบไนซ์กายแทบทุกที่ๆติดต่อด้วยโดยที่ไม่ต้องพูดถึงเรื่องสัมพันธภาพด้านความรัก ดังนั้น ผู้หญิงย่อมพบไนซ์กายมากมายอยู่แล้วในชีวิตของเธอ  แม้กระทั่งเพื่อร่วมงานที่ไม่ได้คิดเรื่องอยากจะสานสัมพันธ์รักกับเธอก็เป็นไนซ์กายได้ทั้งนั้น  นั่นก็เพราะการเป็นไนซ์กายนั้นเป็นสิ่งที่หาได้ไม่ยากในสังคมที่ต้องมีการเกื้อกูลกัน

 

หากพูดในเรื่องของสัมพันธภาพด้านความรัก (เน้น ความรัก) แบบเดียวกับที่พวกเราเข้าเว็บ houseoflover นี่ละ  ซึ่งเป็นสิ่งที่ชัดเจนอยู่แล้วว่า “ส่วนใหญ่”ต่างก็มองหาสัมพันธภาพด้านความรักกันเป็นหลัก (แม้บางส่วนจะบอกว่ามาแค่หาเพื่อนก็ตาม)  ดังนั้น หากมองชัดๆในเรื่องนี้ก็จะเห็นว่า ถ้าผู้ชายเป็นเพียงแค่ไนซ์กายและอยากจะได้ “สัมพันธภาพพิเศษ”จากฝ่ายหญิงนั้น คงเป็นเรื่องที่ “ยาก”ที่จะทำให้ผู้หญิงสนใจได้จนถึงขนาดหลงเสน่ห์ และ อยากขยับสัมพันธภาพในระดับที่สูงขึ้นเพื่อเป็นแฟน เป็นคนรัก

 

ทำไมเป็นเช่นนั้น...คำตอบนั้นอยู่ในหลายย่อหน้าข้างต้น...หากนึกให้ดีๆจะพบว่า ถ้าทำตัวเป็นไนซ์กาย(ซึ่งเป็นเรื่องดี) เรา(ผู้ชายทั้งหลาย)ก็ยัง “ไม่แตกต่าง”จากใครๆในสังคมที่ล้วนแล้วแต่เป็นไนซ์กายทั้งสิ้น  ซึ่งเรื่องนี้ผู้หญิงพบกับไนซ์กายจนชินแล้ว   หากผู้ชายที่อยากจะให้เธอเลือกเขาเป็นคนพิเศษแต่ยังทำตัวเป็นแค่ “ไนซ์กาย” ก็เท่ากับว่ายังไม่มีอะไรที่ “แตกต่าง”จากผู้ชายหลายๆคนในชีวิตที่พบเจอได้ง่ายๆในสังคม

 

ไนซ์กายไม่ได้ตอบโจทย์ที่จะทำให้ผู้หญิงสนใจพอที่จะรับผู้ชายเป็นแฟน หรือเป็นคนรักก็เพราะเหตุนี้เอง 

 

ไม่แปลกที่เรามักจะพบว่า มีเสียงบ่นจากผู้ชายทั้งหลายที่อยากให้ผู้หญิงสนใจ หรือรัก ว่า “ผมเป็นไนซ์กายสำหรับเธอ ผมทำดีทุกอย่างเพื่อเธอ แต่  ทำไมเธอไม่สนใจผมเลย  ไม่แม้แต่จะมองเห็นคุณค่าความเป็นไนซ์กายของผมด้วยซ้ำ”

 

แบบนี้ชัดเจนอยู่แล้วว่า....การเป็นไนซ์กายของผู้ชายนั้น ถือว่า “ไม่เพียงพอ”ต่อการที่จะ “จุดชนวน”ให้หญิงสักคนมองเห็นความแตกต่างของชายคนนั้นกับสิ่งที่เธอพบเห็นได้ง่ายๆในสังคม...เรื่องมันก็มีอยู่เท่านั้น

 

ดังนั้น ผู้ชายที่อยากให้ผู้หญิงสนใจขนาดเปิดประตูใจยอมรับให้เป็น “คนพิเศษ”ขึ้นมาได้ก็คงต้อง “ออกแรง” หรือ “เตรียมการ”หลายๆอย่างเพื่อให้เธอ “เปิดใจ” แล้วละ  เพราะลำพังการเป็นแค่ไนซ์กายนั้นไม่เพียงพอจริงๆ  เรื่องนี้ไม่ใช่เรื่องพูดกันเล่นๆ เพราะถือว่าเป็นปัญหาระดับโลก  แม้แต่ผู้ชายตะวันตกที่คิดว่าน่าจะฉลาด มีเสน่ห์ พูดเก่ง มีอินฟอร์เมชั่นเยอะแยะก็ยังมีปัญหาเรื่องนี้ไม่ต่างจากผู้ชายไทย

 

ถามว่าทำไมถึงเป็นแบบนั้น...เรื่องของเรื่องไม่มีอะไรซับซ้อน....นั่นก็เพราะว่าระบบการคัดเลือกชายของผู้หญิงนั้นค่อนข้างแปลก(สำหรับผู้ชาย) และแตกต่างจากผู้ชายมากๆ  ...เพราะผู้ชายนั้นสนใจผู้หญิงด้วยรูปลักษณ์เป็นหลัก  ตัวอย่างเช่น ถ้าผู้หญิงบางคนไม่แต่งหน้า(หน้าสด)ก็ดูธรรมดา แต่ พอหล่อนแต่งหน้าทาปากสวยๆ แค่นี้ก็เปลี่ยนโลกสำหรับผู้ชายแล้ว (ไม่พูดถึงรูปร่าง)   และผู้หญิงสาวใหญ่ก็รู้จุดอ่อนนี้ของผู้ชายชัดเจน  จึงจงใจใช้เวลาแปลงโฉมตัวเองซึ่งก็คุ้มค่ากับการแปลงโฉมเพราะได้รับความสนใจจากผู้ชายอย่างรุนแรงทุกครั้ง

 

ผู้ชายส่วนใหญ่ มักคิดว่า ถ้าตัวเองสนใจผู้หญิงตรงที่รูปลักษณ์(แต่งหน้าสวย หุ่นดี เสริมอก ทำศัลยกรรม) ก็เลยคิดว่าผู้หญิงก็คงคิดแบบเดียวกัน (แบบผู้ชาย) นั่นก็คือ ต้องชอบคนหล่อ เท่ ดูดี และมีเฟอร์นิเจอร์เยอะๆ....ซึ่งเรื่องนี้ถือว่าคิดผิดพลาดไปเยอะ(จริงอยู่ มีผู้หญิงส่วนน้อยที่ ชอบผู้ชายทีสรีระ เงินทอง ฯลฯ ในขณะที่ส่วนใหญ่คิดละเอียดลออมากกว่านั้น และมองด้วยสมองของเธอมากกว่า)

 

ผู้หญิงนั้น จะ “เปิดใจ” กับผู้ชายที่เธอสนใจ หากผู้ชายคนนั้นมีอะไรมากกว่าความเป็นไนซ์กายที่เธอเจอมาจนเบื่อ และทำให้เธอไม่เห็นว่าไนซ์กายนั้นจะประทับใจสักเท่าไหร่ สิ่งที่ต้องต้องการคือ “ความมีเสน่ห์” ที่ผู้ชายคนหนึ่งสามารถแสดงออกให้เธอเห็นได้ชัดๆเสียก่อน  เมื่อเห็นเสน่ห์ตรงนั้นแล้ว เธอจึงจะ “เปิดประตูใจ” ของเธอเพื่อยอมรับชายคนนั้นมากขึ้น

 

ถ้าประตูใจของผู้หญิงยังไม่เปิด ความสัมพันธ์ก็ไม่คืบหน้า อย่างเก่งก็เป็นแค่ไนซ์กายที่คุยกันไม่นานก็เซ็งเพราะไนซ์กายไม่มีอะไรที่น่าตื่นเต้นเลย

 

ผู้ชายที่เข้าใจเรื่องนี้ จะเปิดประตูใจของผู้หญิงที่ตนเองคิดว่าอยากจะสานสัมพันธ์ต่อ ด้วยการ สร้างความแตกต่างจากไนซ์กายทั้งหลาย โดยเติม อารมณ์ขัน  ความเชื่อมั่น  บวกกับศักยภาพของความเป็นชายที่เต็มไปด้วยความเชื่อมั่นในตัวเอง ออกมากอย่างเหมาะสม

 

หากทำได้แบบนั้น ประตูใจของผู้หญิงจะเปิดให้ชายคนนั้นเดินเข้าไป  หากเขามีความเชื่อมั่นใจตัวเองมากพอ และยอมรับกับบททดสอบที่ผู้หญิงจะทดสอบอยู่บ่อยๆ(มันเป็นธรรมชาติของผู้หญิงทุกคน)ได้ เขาก็จะได้ใจของเธอในที่สุด

 

ผู้ชายที่รู้เคล็ดลับและวิธีการเข้าถึงประตูใจของผู้หญิงไม่ได้จำกัดอยู่เฉพาะคนหน้าตาหล่อ การศึกษาดี หรือชาติตระกูลสูงส่ง เพราะเอาเข้าจริงๆแล้ว ผู้ชายที่คุณสมบัติเลอเลิศเหลjานั้นถ้าไม่รู้วิธีการสุดท้ายก็ออกมานั่งตบยุงโดยผู้หญิงไม่สน  ต่อมาก็จะบ่นว่า “ผมเป็นไนซ์กายสุดๆ เป็นสุภาพบุรุษสุดชีวิต  ผมหล่อซะขนาดนั้น เธอยังไม่สนใจผมเลย”

 

ในขณะที่อาจจะมีผู้ชายที่หน้าตากลางๆ แต่มีเสน่ห์เหลือใจ มีคารมดี  สร้างอารมณ์ขันที่เหมาะสม  และทำให้ผู้หญิงรู้สึกอยากจะคุย อยากใกล้ชิดคนนั้นบ่อยๆ ...นั่นละแสดงว่าเขารู้เคล็ดลับดังกล่าวแล้ว....

 

บอกตามตรงว่า การรู้เคล็ดลับตรงนี้ไม่เพียงนำมาใช้กับการสร้างสัมพันธภาพกับหญิงที่เขาต้องการสานสัมพันธ์เท่านั้น แต่ยังนำไปปรับใช้กับวงการอื่นๆได้ด้วย ขึ้นอยู่กับการปรับปรุงปัจจัยเด่นๆที่เขารู้มาว่าจะเอาไปพัฒนากันระดับไหน

 

และทั้งหมดนี้คือมุมมองของผู้ชายในแง่การทำตัวเป็น ไนซ์กาย เท่านั้นจริงๆแล้วยังมีมุมมองของผู้ชายอีกหลายมุมที่น่าสนใจเอามาวิเคราะห์กัน....

 

วันนี้คงประมาณนี้ก่อนนะครับ

Pete@Copyright  

ความคิดเห็น
ผู้แสดงความคิดเห็น

หลังจากฮัลนีบาล แลคเตอร์จบไป นี่เป็นครั้งแรก ที่ได้จดจ่ออ่านอะไรที่ยาวๆจนจบไหลเรียงมาทีละบรรทัดเพราะมันใช่มันโดน
เห็นด้วยกับแนวคิดที่นำเสนอครับ แต่จะผิดมั้ยถ้า ส่วนตัวผมคิดว่า เราอาจพยามยามสร้างสิ่งที่คิดว่ามันคือเสน่ห์เพื่อให้คนชื่นชอบได้..แป้บนึง แต่ที่สุดแล้วพฤติกรรมโดยปกติของเรานั่นคือสิ่งที่ทำให้เรามีความแตกต่าง เรียกว่าเอกลักษณ์อนุมาณได้ว่าเป็นเสน่ห์ของแต่ละคน ซึ่งอันนี้คงพยายามเลียนแบบกันยากถูกมั้ยคับ
ถ้าเสน่ห์แท้จริงคือสิ่งที่คุณเป็นดังนั่นทุกๆคนจึงมีเสน่ห์ในแบบของตน ขึ้นกับว่าเขาหรือเธอจะชอบเสน่ห์ในแบบไหน ตรงกับที่เรามีรึปล่าว.
แต่เสน่ห์ขั้นเทพเสน่ห์แห่งมหาชน ถ้าเราไม่มี ฝืนทำให้เกิดก็ได้ไม่นานถ้าอย่างนั้น
เอาเสน่ห์ขั้นเทพ สองถุงครับ แยกน้ำด้วย อิอิ
เกือบจะมีสาระกะเค้าแล้วเชียว...หลุดจนได้
แสดงความคิดเห็นเมื่อ : 11/6/2560 1:00:59
ผู้แสดงความคิดเห็น

Khun JiPa

ขอบคุณจิปาที่เข้ามาเม้นต์ครับ หายไปไหนซะนาน

เรื่องของมนุษย์นั้นต่างคนก็ต่างรูปแบบกันครับ....นั่นคือเหตุที่เราต้องศึกษาตัวเราให้เข้าใจก่อน จากนั้นค่อยขยายวงไปศึกษาดูนิสัยคนอื่น....และปรับให้เหมาะสมกัน ส่วนจะไปได้ไกลหรือใกล้แค่ไหนก็ขึ้นอยู่กับผลของสิ่งที่มนุษย์เราสร้างขึ้นมาครับ
แสดงความคิดเห็นเมื่อ : 11/6/2560 11:28:55
ผู้แสดงความคิดเห็น

ก้อจริงนะเจอไนท์กายมามากมาย เเต่บางทีชายควรหาอย่างอื่นที่เด่นชัดให้เราหลงรักเเต่ไม่จำเป็นต้องฝืนตัวเองมากนะ บางทีจีบติดเเต่เลิกกันเพราะฝืนตัวเองก็มีเนอะนะ
แสดงความคิดเห็นเมื่อ : 11/6/2560 12:42:22
ผู้แสดงความคิดเห็น

Khun Nu
ขอบคุณครับที่แวะเวียนมาคอมเมนต์กัน และคอมเมนต์ของคุณนุสร้างสีสันสดสวยเสมอ
มีพูดถึงฮันนิบาล เล็คเตอร์ด้วย—ตรงนี้สะใจมากครับ ผมชอบหนังเรื่องนี้มากเป็นพิเศษตรงที่จับ Anthony Hopkins มาเล่นเป็นฮันนิบาลซึ่งให้คุณสมบัติครบถ้วนในการเป็นฮันนิบาลครับ จริงๆแล้วผมชอบ Hopkins มาตั้งแต่เล่นหนังเรื่อง Apocalypse Now ที่ฟรานซิส ฟอร์ด คอปโปล่าสร้างแล้วเพราะพี่แกเล่นเป็นนักข่าวหัวเห็ดที่ปักหลักตามผู้พันเคอร์ส(มาร์ลอน แบรนโด)ที่ฝังตัวอยู่ในป่าจน มาร์ติน ชีน ต้องไปตามตัวกลับมา(แต่ก็ล้มเหลว)

มาชอบฮอปกินส์อีกครั้งตอนที่เล่น Speed คู่คิอานู รีฟ ปนๆไปกับเล่นบท ฮันนิบาล เล็คเตอร์ ที่คุณนุชื่นชอบครับ เสียดายที่แกไม่น่าตายไปเมื่อปีที่แล้ว(2016)เลย
ดาราที่ผมคิดว่าเฉือนบทของฮอปกินส์ได้คงมีแค่ แจ็ค นิโคลสันเท่านั้นเพราะบทร้ายๆแบบนี้ต้องยกให้แกเลย

เอาละมาว่ากันเรื่อง เสน่ห์ ที่คุณนุคอมเมนต์มาว่า อยากให้ทุกอย่างออกมาเป็นธรรมชาติและถือว่าเรื่องพวกนี้เป็นเรื่องเฉพาะตัว....ตรงนี้ผมเห็นด้วยครับ

ตัวอย่างเช่น เราเคยเชื่อว่า “การสร้างความประทับใจ” ตามแบบของ “เดล คาร์เนกี้” ในเรื่องสารพัดที่เขาเขียนเป็นหนังสือขึ้นมานั้นเป็นสิ่งที่คนทั้งโลกต้องทำตาม และได้ผล จนส่งผลให้หนังสือของเขาเป็นหนังสือขายดีติดอันดับโลกมาร่วม 100 ปี แต่มาถึงยุคนี้ บรรดาเกจิระดับโลก และแม้แต่การสอนตามมหาวิทยาลัยตะวันตกนับแต่ปี ค.ศ.2000 เป็นต้นมานั้นก็เริ่ม “ยกเลิก” แนวคิดแบบเดล คาร์เนกี้กันแล้วเพราะคิดว่ามันเป็นการ “สร้างเสน่ห์”ในด้านการพูด แบบ “ไม่จริงใจ” เพราะมัน make up ขึ้นมา

และนี้คือสิ่งที่ตะวันตกหันมาให้ความใส่ใจ กับแนวความคิดในเรื่องเข้าถึงจิตใจแบบตะวันออก เพราะมีการปฏิบัติแนวพุทธและการเข้าถึงธรรมชาติมากๆ โดยมีหัวหอกคือ Peter Osho เป็นตัวนำรวมทั้งมีแพทย์นักคิดชาวอเมริกันจำนวนมากที่หันมาใช้แนวนี้กันแล้ว

สรุปง่ายๆก็คือ โลกยุคใหม่ผู้คน(โดยเฉพาะทางตะวันตก)เริ่มหันมาสู่ความจริงใจในระดับลุ่มลึกครับ

กลายเป็นว่า แทบจะเลิกสไตล์เดล คาร์เนกี้ไปแล้ว แต่อนิจจา แนวคิดแบบ เดล คาร์เนกี้ กลับไปผุดที่ประเทศแถบตะวันออกแทน และทำให้คนทางตะวันออกหันไปสนใจแบบคาร์เนกี้ สลับขั้วกับทางตะวันตกที่เน้นความจริงใจมากกว่าการ “สร้าง” หรือ make up กันอย่างกว้างขวาง...

เอาละ คราวนี้มากระชับขึ้นเรื่องที่เกี่ยวกับกระทู้ที่ผมเขียนครับ....

ผู้ชายทุกคนมีเสน่ห์ในตัวเอง...แต่เคยสงสัยมั้ยครับว่าทำไม เสน่ห์ที่เรามีอยู่นั้นใช้ได้กับหลายวงการ แต่ในเรื่องของการทำให้ผู้หญิงสักคนสนใจมันจึงไม่เวิร์คเลย....อันนี้น่าจะจับเป็นปัจจัยพิเศษที่ต้องแก้ไขหรือไม่ (แล้วแต่บุคคล)

หากจะเปรียบกับหลักธรรมชาติที่ว่า “คิดแบบเดิม ทำแบบเดิม ผลลัพธ์ก็ออกมาแบบเดิม มันไม่มีทางพัฒนาได้เลย เพราะเท่ากับเราฝากโชคชะตาไว้กับอะไรบางอย่างที่เราทำอะไรกับมันไม่ได้”

และนั่นคือเหตุที่ทำให้คนเรา วิเคราะห์ พัฒนา เพื่อความก้าวหน้า....บริษัทต่างๆในโลกนี้ต่างก็มี R&D (Research and Development) เพื่อพัฒนาสิ่งต่างๆให้สอดคล้องกับความเปลี่ยนแปลงของโลก เช่น ทุกวันนี้รถที่เราใช้แทบจะเป็นยุคสุดท้ายแล้วที่ใช้น้ำมัน ยุคอีกไม่กี่ปีข้างหน้าเราอาจจะต้องใช้รถไฟฟ้ากันทั้งหมดแล้ว นี่คือตัวอย่างของการ “เติมปัจจัย”เพื่อสร้างความเหมาะสมกับธรรมชาติของโลก

ถ้าเราเอามาปรับกับ เรื่องสัมพันธภาพระหว่างชายกับหญิง....ถ้าวันนี้เรายังเป็นแบบเดิมเมื่อ 5-10-15 ปีที่แล้วที่ไม่เคยประสบความสำเร็จในการทำให้สตรีสักคนออกไปเดทกับเราได้ ก็เท่ากับเราต้องพิจารณาตัวเองเหมือนกัน ...ดังนั้นจงไม่แปลกหรอกครับทีเราอาจจะ “ไม่อยากเป็นแบบเดิม คิดแบบเดิม ผลลัพธ์มันก็แบบเดิมมาตลอด” และนี่คือสิ่งที่ผมคิดว่าเราน่าจะมอง factor หรือ ปัจจัยใหม่ๆขึ้นมาบ้าง

ส่วนเรื่องที่กลัวว่า มันจะผิดธรรมชาติ หรือฝืนตัวเองนั้น ผมแนะนำให้ “สร้างปัจจัยใหม่ที่สอดคล้องกับธรรมชาติ” ของแต่ละคนสิครับ ตัวเราเองเป็นผู้ชายก็ต้องคิดประเด็นเช่นว่า ในขณะเดียวกันก็ต้องมองธรรมชาติของผู้หญิงให้ออกด้วย

สิ่งที่ผมนำเสนอนั้น เป็น ธรรมชาติล้วนๆของผู้หญิงและผู้ชาย ที่เรา(ผู้ชาย)อาจไม่เคยเห็นมาก่อน การที่เราได้ไปเห็นตรงนั้นทำให้เรา เห็นปัญหา ที่เราเพิ่งได้พบ และ นำไปสู่การสร้างปัจจัยที่ไม่ฝืนธรรมชาติที่เราสร้างขึ้นมาได้เอง

จริงๆแล้ว ผมเน้นในเรื่องของ “ความเชื่อมั่น” ในตัวเองซึ่งเป็นเสน่ห์ธรรมชาติของผู้ชายที่ทำให้ผู้หญิงรู้สึกชอบครับ

สำหรับตัวผมเอง ถ้าพูดถึงเรื่องแบบนี้ ผมเชื่อว่ามันเป็นแค่หน่วยเล็กๆในธรรมชาติ (1 ใน 84,000 เรื่องที่เกี่ยวกับสาขาความคิดของมนุษย์ ตามหลักธรรมชาติ) ที่ทำให้เราเห็นอะไรชัดเจนขึ้น ในขณะที่ผมยังยึดถือหลัก ธรรมชาติ หรือ Power Of Now (พลานุภาพแห่งปัจจุบัน)อย่างเข้มข้นครับ

เรื่องการเข้าใจธรรมชาติของหญิงและชายนั้นเป็นแค่ “อนุภาคเล็กๆ”ในส่วนที่เรียกว่า “มายา” หรือ Illusion เท่านั้นครับ การรู้ไว้ไม่เสียหลาย แต่ทำให้เราเข้าใจโลกมากขึ้น พอๆกับเข้าใจเรื่อง จริตทั้ง 6 ของมนุษย์ที่ปรากฏอยู่ในคัมภีร์วิสุทธิมรรค ครับ

การเข้าใจเรื่องทั้งหมดนั้นเป็นปัจจัยหนึ่งที่ทำให้เราอยู่ในสังคมโลกได้ครับ ขึ้นอยู่กับว่าเรา “เท่าทัน”เรื่องต่างๆในโลกนี้แบบไหน ระดับใด และอยู่อย่างแยะแยกได้จนกระทั่งพบความสุขได้อย่างไรครับ

ขอบคุณครับ
แสดงความคิดเห็นเมื่อ : 11/6/2560 12:49:56
ผู้แสดงความคิดเห็น

Khun Ople

ตามบทความเลยครับ

ไนซ์กายทั้งหลาย “ติดกับ” อยู่ในความเป็นไนซ์กายของตนเองจนลืมแสดงตัวตนที่แท้จริงออกมา เมื่อไม่มีจุดเด่นก็เลยไม่ต่างจากไนซ์กายคนอื่นๆที่เป็นเพื่อน ผู้ร่วมงาน เจ้านาย หรือเซลล์แมนทั้งหลาย เมื่อเป็นแบบนี้ ประตู “วีไอพี”ในใจของผู้หญิงจึงไม่เปิดรับ อย่างเก่งก็ให้นั่งในห้องรับรองแขกทั่วๆไปคล้ายไนซ์กายคืนอื่นๆ

และนี่คือเหตุที่ว่าไม่พบคนพิเศษกันสักที

และบางทีพบคนพิเศษแล้ว แต่คนพิเศษที่ว่านั้นมีข้อมูลจำกัดอีกต่างหาก ทำให้คุยกันไปสักพักก็หมดสต๊อกข้อมูลดื้อๆ ไม่รู้จะเริ่มบทสนทนาต่อไปอย่างไร (กรรม)

ขอบคุณที่คอมเมนต์ครับ
แสดงความคิดเห็นเมื่อ : 11/6/2560 12:55:13
ผู้แสดงความคิดเห็น

โย่!จิปา ซั่บแหม๋ม ?หายไปนานหลายปี ขาดคนขบกัดแเลปรับตังค์ ประหนึ่งชีวิตไร้แล้วซึ่งหวาดระแวง แย่นะ
อนึ่ง..ต้อนรับกลับบ้านด้วยบทกลอนสะท้อนสังคม
แม้ฮัลนิบาลจะกินหัวใจคน
แต่หากไร้จิปาอีกเพียงหน
ก็เปรียบดังคนทีไร้หัวใจ
เอย.
นี่แหละเสน่ห์ของผม เสน่ห์อันอยากจะลืมเลือน 555.
กลับสู่สาระ.
ทำไมเราอยากเป็นคนมีเสน่ห์ ถ้าเพื่อสร้างความสัมพันธ์ุ
งั้นบทความข้างต้นของคุณพิทก็คือทฤฎีสู่สัมพันธภาพ
สองบทความกะสามคอมเม้นท์ สรุปได้เป็น
E=MC sqr. พระเจ้า!


แสดงความคิดเห็นเมื่อ : 11/6/2560 13:54:12
ผู้แสดงความคิดเห็น

@Khun Pete & Khun Nu,

ขอเอาความคิดเห็น ของท่านพี่2ท่าน มารวมกันนะคะ
ผู้ชายดี (บางครั้ง แลดูว่าดีเกินไป) บางทีก้อไม่มีเสน่ห์เอาเสียเลย
ต้องมีความผสม แต่ละอย่าง แต่ละส่วน เอามาอย่างละนิดๆปนกัน และมีความเป็นของตัวเองอยู่ด้วย
คิด เหมือนอย่าง P'Jipa อ่ะค่ะคนเราชอบไม่เหมือนกัน และ มันขึ้นอยู่กับ เคมี ของคนทั้ง2คนตรงกันด้วย

ปล. พี่จิปาไปไหนมา ที่ชอบ อ่ะ วันหลังชวนน้องไปด้วยน๊า เดี๋ยวน้องเลี้ยงขนมเค้ก และ กาแฟเอง
แสดงความคิดเห็นเมื่อ : 11/6/2560 16:06:32
ผู้แสดงความคิดเห็น

@พี่จิปา

หวายยยย. เพิ่งรู้คุยกะมนุษย์ถ้ำนี่เอง
มาๆพี่มนุษย์ถ้ำ มีงบ20นะ :p
แสดงความคิดเห็นเมื่อ : 11/6/2560 19:32:34
ผู้แสดงความคิดเห็น

ผช. บางคนก่แปลกนะค่ะ คุยกันดีมาตลอด บอกอยากเจออย่างงั้นอย่างงี้ พอเอาเข้าจริงเราพร้อม เจอกับโกหกบ่ายเบี่ยงหลอกลวง ทำเหมือนเราโง่ แล้วจะมาคุยกันทำไมให้ เสียอารมย์ให้เสียเวลา เราเป็นผญ ก่โมโหเป็นเหมืนกันนะ อยู่ๆ ก่หายไป มีอย่างงี้ด้วยอะ ยังนึกตลกตัวเองอยู่เลยค่ะคุณพีท เราจริงใจแต่เค้าไม่จริงใจ อยากไม่พูดก้่เงียบไปเลย มีอย่างงี้ด้วยอะ ไม่เป็นลูกผู้ชายเลยอะ ไม่มีการบอกกล่าวอธิบายใด ๆ เลย หนีเฉยเลย ตลกมากๆๆ คุณพีท ช่วยวิเคาะห์คนประเภทนี้หน่อยค่ะ
แสดงความคิดเห็นเมื่อ : 12/6/2560 0:39:52
ผู้แสดงความคิดเห็น

ถ้าไนซ์กายโดนทิ้ง ลองเปลี่ยนเป็นไนซ์เกย์ดู ทีนี้จะกลายเป็นผู้ล่าเป็นมหาบุรุษผู้อยุ่สูงสุดของห่วงโซ่อาหาร 555 ดูสิสาวๆจะหาแฟนจากไหนได่ อยากปฏิเสธเราดีนัก
คุณแหม่มคับผมขอโมษ ที่ผมหายไปไม่ใช่อย่างที่จิปาบอกอย่าไปเชื่อ ผมแค่โดนใครไม่รู้ตีหัวแล้วลากไปขังในถ้ำหลายวันเพิ่งขุดรูมุดรั้วออกมาได้ ไม่ไ้ด้คิดจะทิังไปจิงๆ
วิธีหายไปแล้วกลับมาจะทำให้คนรอดีใจนั่นบางทีก้อตรงข้ามนะ ก้อผมเพิ่งโดนไล่กลับมาเนี่ยคุณมินใจร้าย.
น้องปอสายเดี่ยวเปรี้ยวจี้ด ได้พวกเข้ากันเป็น ทรัมเป้ดกะตะโพนมอญเลยนะ จิปาไม่มาล่ะเงียบกิ้บ
คนดีไปก้อไม่ชอบคนร้ายเกินก้อไม่เอา ถ้าอย่างนั่น
เลือกผมสิครับ ..ผมออกจะคุ้มดีคุ้มร้าย ชอบมั้ยแบบนี้.

แสดงความคิดเห็นเมื่อ : 12/6/2560 14:53:36
ผู้แสดงความคิดเห็น

สวัสดีครับนินจาสาว(นู๋จิปา)พอมาถึงก็จัดชุดใหญ่ไปกระพริบเลยเนาะ นู๋จิปาแสดงความคิดเห็นช่วงแรกๆผมเห็นด้วยครับ(บ่ได้เลียนแบบเด้อ แล้วก็บ่มีเงิน20นำ)จริงๆแล้วการที่เรารู้สึกดีกับใครสักคนมันไม่สำคัญต้องเป็นคู่รักหรือได้ครอบครองเสมอไป ส่วนช่วงหลังๆรู้สึกว่านู๋จิปาจะมองแง่ร้ายไปหน่อยแต่ก็จริงล่ะ ส่วนผู้ชายก็มีวิธีหาคู่ที่แตกต่างกันแล้วแต่ประสบการณ์และความชอบ ส่วนข้อยบ่มักคือไผดอก ข้อยมักธรรมชาติเสริมดังเฮ็ดหน้าข้อยบ่มัก หน้าอกโตๆข้อยก็บ่มัก รวยก็บ่สนดอก ย่านแต่งกันไปแล้วเพิ่นใช้ซักส่งใน(ใช้ซัก กกน)
แสดงความคิดเห็นเมื่อ : 12/6/2560 15:07:51
ผู้แสดงความคิดเห็น

อ้อยต้อย แปลว่า ล้วนๆ
อุ้ยปุ้ย แปลว่า เละตุ้มเป้ะ
ข้อยบ่แม่นลาวแต่ไอ้เหมียนเพี่ยนผมมันเป็นลาว
ถามแต่เรื่องภาษาแล้วเรื่องหัวใจไม่ถามผมบ้างล่ะ(ฮ่วย)
แสดงความคิดเห็นเมื่อ : 12/6/2560 15:51:54
ผู้แสดงความคิดเห็น

ข้อยบ่แม่นสายเหลืองเด้อ พอพูดเรื่องนี้แล้วเคยเจอแบบนี้ครับช่วงอายุ20ต้นๆยืนรอรถเมล์อยู่ประมาณ2ทุ่ม มีรถเก๋งเลี้ยวเข้ามาถามทางบอกว่าจะไปตรงนี้แต่ไปไม่ถูกน้องรู้จักใหม ผมก็บ้านนอกเข้ากรุงเนาะไม่เฉลียวใจเลยบอกรู้จัก เขาก็บอกว่าให้นั่งไปกับเขาบอกทางหน่อย พอดีผ่านบ้านผมผมเลยไป ถึงบ้านผมเขาก็จอดให้ลงส่วนที่เขาจะไปเลยไปหน่อยก็ถึง เขาบอกผมว่าพี่อุตส่าห์มาส่งพี่ขอจับไอ้นั่นหน่อยสิ ผมมองหน้าเขาแล้วบอกไปนิดเดียวนะพี่ เขายิ้มแล้วยื่นมือมาค่อยๆจะจับน้องชายผม พอมือเขาจะถึงผมเปิดประตูวิ่งลงมา เขาตะคลุบผมแต่เขาติดเข็มขัดนิรภัย ผมใส่เกียร์หมาพอถึงบ้านเล่าให้พี่สาวฟังหัวเราะชอบใจเลย บอกผมทำไมไม่ลองดู
แสดงความคิดเห็นเมื่อ : 12/6/2560 16:41:49
ผู้แสดงความคิดเห็น

ขออนุญาติคุณพีทต่ออีกสักเรื่องครับ(ขอบคุณครับ)
ช่วงที่ผมหารายได้พิเศษขับแท็กซี่นั่นล่ะก็พอดีรู้จักพี่ๆหลายคน ช่วงนั้นมีพี่คนนึงขับกลางคืนเหมือนกันแกเล่าให้ฟังว่ามีวันนึงแกขับไม่ได้ตังค์เลยเงินไม่พอค่าเช่ารถ พอดีมีกระเทยมานั่งรถเกเลยบ่นให้กระเทยฟัง กระเทยเลยบอกจะช่วยแต่ต้องนอนกับเขาแลกกันพี่แกเลยยอม แต่ก็กลัว แกบอกว่าลิ้นกระเทยวิเศษมากตวัดแต่ละทีขนหัวพี่แกกระเจิงเลย แกบอกชอบมากรู้แบบนี้ยอมไปนานแล้ว ผมอึ้งเลยพอได้สติเลยถามพี่แก อีหลีตี้ (อย่าคิดว่าลามกเลยนะครับ คิดว่าคลายเครียดแล้วก็ไม่ได้ดูถูกเพศที่3นะครับ หากไม่ชอบขออภัย ลบได้เลยครับ)
แสดงความคิดเห็นเมื่อ : 12/6/2560 16:52:51
ผู้แสดงความคิดเห็น

จะมีเสน่ห์ไปทำไม. ถ้าไร้มินตรา.
ขอบคุณครับ
แสดงความคิดเห็นเมื่อ : 12/6/2560 23:02:53
ผู้แสดงความคิดเห็น

To.คุณจิปาได้ฟังคุณจิปา วิเคราะห์ แล้วอาจจะใช่ อย่าที่ ว่า เค้าอาจจะใช่โจรกระจอก อย่างคุณจิปา ว่าจริง ๆ อะ แบบไม่แมนเลยเนอะคนอย่างนี้ ไอ้เราเป็น ผญ.อะไม่ชอบอะไรที่มันค้างคาใจงัย มีอะไรพูดตรงๆ ไม่อยากพูดก่บอกเหตุผลมาแค่นี้เราก่จบ ต่างคนต่างสบายใจ แต่ในกรณีนี้ไม่ใช่ อะเงียบเฉยเลย ไลน์ก่ไม่อ่าน โทรก่ไม่รับ พี่ว่าเค้าคงตายไปแล้วละ 555 ปล่อยเค้าไปเถอะ แบบเราสวยเลือกได้อะเนอะ555 พูดเล่น มันทำให้ความรู้สึกดีๆ ที่มีให้กันเสียไป แค่นั้นเอง แต่ก่ขอบคุณอีกครั้งนะค่ะคุณจิปา ที่มาเผือก ดีแล้วค่ะ อย่าหายไปนานนะ คิดถึง
แสดงความคิดเห็นเมื่อ : 13/6/2560 8:01:07
ผู้แสดงความคิดเห็น

To. k.nu 555เป็นอีกคนที่หายไป หายไปหน่ายยย มาคอมเม้นท์ บ่อย ๆ นะค่ะ สนุกดีค่ะ ขอบคุณค่ะ
แสดงความคิดเห็นเมื่อ : 13/6/2560 8:02:18
ผู้แสดงความคิดเห็น

คุณแหม่ครับ..พอดีช่วงปลอดคน เลยอยากกระชิบบอก..ปัญหาที่คุณแหม่มเผชิญอยุ่ตอนนี้ เป็นอาการ
ทางใจทางการแพทย์เรียกว่าอาการ ใสซื่อทุ่มเทใจซินโดรม ชาวบ้านเรียก โรคแมงมั่นคุดคู้ เป็นกันทุกคนแหละ ไม่ต้องกังวล
ยังไม่มีวัคซีนแต่ที่จริงร่างกายเราสามารถสร้างแอนตีซินโดรมตัวนี้ได้เอง คล้ายๆโรคหัดรึโรคอีสุกอีใส นี่แหละ
คือเป๋นหนักๆครั้งแรกหลังจากนั้น อาจจะเป็นอีกสองถึงสามครั้งขึ้นกับ คารมและทรงผม อาจเกิดอาการนี้อีกในครั้งที่สี่ หลังจากน้้นแม้โรคนี้จะยังคงเกิดได้ แต่เราจะไม่แสดงอาการใดๆละ. มันชิน
แสดงความคิดเห็นเมื่อ : 15/6/2560 4:08:47
ผู้แสดงความคิดเห็น

แหะๆ ท่าทางกระทู้สาระคุณพิทจะจบแบบหักมุมซะแล้ว.อ่านผ่านๆอาจคิดว่าผมเป็นคนทำเสียเรื่อง ซึ่งถ้าลงดีเทลกันดีๆจะพบว่าส่วนของผมน่ะเรียกว่าinovation comment. หลักๆที่เบี่ยงเบนประเด็นมาจากจิปากับจอมยุทธคมครับผม.มีพิรุจขัดเจน ไม่งั้นไม่หายไปงี้หรอก
อิอิ..
อนึ่ง..ปีนี้ปีชง หลังวางระเบิดแล้วผมว่าจะไปตามหาแง่งนะครับ.คงนานกว่าจะกลับแจ้งให้(จิปา)ทราบครับผม
แสดงความคิดเห็นเมื่อ : 15/6/2560 4:23:56
ผู้แสดงความคิดเห็น

To.k.nu ขอบคุณสำหรับอาการใสซื่อทุ่มเทใจซินโดรม จริงๆๆ ค่ะ ต่อไปคงไม่ใสซื่อแล้วละ ต้องระวังตัว เยอะๆ แล้วละ ถ้าโดนอีกสาม สี่ ครั้งมันจะชาชินใช่ไหม ไม่อยากโดนอะค่ะ พอละ ขอคุยกับคนที่จริงใจดีกว่าเนอะ 555
แสดงความคิดเห็นเมื่อ : 16/6/2560 9:47:37