Login
-
 view (515 )     comment (20 )     last update : 19/6/2560 0:23:36
Pete
ทุ่มทุนทุกอย่างแต่ทำไมสาวเจ้าถึงไม่รักเสียที – Whatever I paid for her, I could not win her heart

คุ้นๆบ้างมั้ยกับประโยคทำนองนี้

 

...ผมทุ่มเทเงินทองให้เธอเท่าไหร่ แต่เธอไม่เคยรักผมเลย ไม่แม้แต่จะให้ความสนใจด้วยซ้ำ

 

...อุตส่าห์พาไปเลี้ยงดินเนอร์สุดหรู เปิดแชมเปญขวดละหลายหมื่น แต่เธอแค่บอก “ขอบคุณค่ะ” เท่านั้น

 

...สิ้นเดือนก็จ่ายค่าหอพักให้ แถมด้วยจ่ายค่าน้ำค่าไฟค่าโทรศัพท์และค่าผ่อนของสารพัดอย่าง แต่ผลสุดท้ายเธอก็หันไปคบกับนักดนตรีร็อกซะงั้น

 

...ซื้อดอกไม้ให้ทุกวัน วันพิเศษก็ให้ดอกไม้ช่อโตๆ ทำอย่างนี้เป็นประจำแต่เธอกลับมองเห็นผมเป็นแค่ “เพื่อน” สนิทคนหนึ่งเท่านั้น

 

...ผมทำดีกับเธอทุกอย่าง ซื้อของที่เธอต้องการ ขออะไรเป็นได้หมด ผมทำแบบนั้นเป็นเดือนเป็นปี แต่แล้วจู่ๆพนักงานออฟฟิซคนใหม่หน้าตาไม่หล่อสักครึ่งของผมด้วยซ้ำกลับคาบเธอไปกินหน้าตาเฉย ผมละเซ็งจริงๆ

 

...ฯลฯ ที่เกี่ยวกับการทุ่มเทเงินทอง ความรัก การเอาใจใส่ ให้กับผู้หญิงที่หมายปองแต่กลับพบว่าไม่อาจทำให้เธอรักได้ในท้ายที่สุด

 

เกิดอะไรขึ้นกับชายเหล่านั้นจนต้องออกมาพูดหรือบ่นกันเป็นประจำ

 

ความคิดของผู้ชายทั่วๆไปก็คือ  เมื่อทุ่มเทเงินทอง ความใส่ใจ ความรัก และเวลาให้กับผู้หญิงที่ตนสนใจ อย่างน้อยสาวๆเหล่านั้นก็น่าจะมีใจให้พวกเขาบ้าง  เพราะวิธีที่พวกเขาทำนั้นก็ช่างแสนจะเข้าข่าย ผู้ชายที่แสนดี โรแมนติก อบอุ่น และมีความรักอย่างจริงใจให้กับสาวๆที่เป็นเป้าหมาย

 

จริงอยู่ แม้จะเป็นเรื่องของการทุ่มเทอย่างจริงใจก็ตาม แต่เรื่องพวกนั้นไม่มีใครการันตีได้ว่าผู้หญิงจะเป็นฝ่ายที่ประทับใจในทุกสิ่งที่ผู้ชายนำเสนอให้ (อาจมีผู้หญิงส่วนน้อยที่หลงรักผู้ชายเพราะได้ของเหล่านั้น แต่ก็มีบางส่วนที่ไม่ยอมทรยศใจตัวเองเพื่อให้ฝืนใจรักตามจำนวนเงินทองและข้าวของที่ผู้ชายทุ่มเทให้)

 

ดูราวกับว่าเรื่องทั้งหมดเป็นสิ่งที่ผู้ชายมักคิดฝ่ายเดียวว่า ถ้าทำแบบนั้นแล้ว ผลลัพธ์จะต้องออกมาเป็นแบบนั้น  หรือดูคล้ายๆ “การลงทุน” ที่ลงทุนไปจำนวนหนึ่งก็ย่อมได้ผลแบบที่ต้องการ

 

แบบนั้นถือเป็น  “การเก็งกำไรเกินควรหรือไม่?”

 

นั่นก็เพราะว่า ... ผู้ชายนักทุ่มเหล่านั้นคิดตามความคิดของตนฝ่ายเดียว แต่ไม่เคยดูทางฝั่งผู้หญิงว่ามีความคิดอย่างไรกับสิ่งของต่างๆที่ผู้ชายทุ่มเทให้ราวกับต้องการจะ “ซื้อความรัก” จากชีวิตของพวกเธอ

 

โลกทุกวันนี้เปลี่ยนไปมากมายแล้ว...ทุกวันนี้ ผู้หญิงส่วนใหญ่พึ่งพาตัวเองได้  สามารถทำงานเลี้ยงตัวเองได้ พวกเธอมีรายได้สูง รายได้ดี และสามารถสรรหาสิ่งของที่เธอต้องการได้ด้วยตัวเอง ด้วยความสามารถ และถ้าชีวิตขาดผู้ชายมาเคียงคู่พวกเธอก็ไม่ยอมงอมืองอเท้าให้อดตาย หากแต่จะทำทุกทางเพื่อความอยู่รอด

 

ในเมื่อผู้หญิงทุกวันนี้สามารถดูแลตัวเองได้ มุมมองในหลายๆเรื่องในอดีตก็ย่อมเปลี่ยนแปลงไปด้วยชนิดหน้ามือเป็นหลังมือ

 

สมัยก่อน ผู้หญิงต้องง้อผู้ชายในการเลี้ยงครอบครัว พวกเธอต้องทำตัวดีเพื่อให้สามีหรือแฟนเลี้ยงดู และนั่นคือโลกโบราณที่ผู้ชาย “อาจจะ” ใช้เงินทองในการทำให้ผู้หญิงหรือครอบครัวของเธอมั่นใจได้ว่าเขาจะดูแลเธอได้ตลอดรอดฝั่ง และนั่นอาจจะเป็นสิ่งที่ทำให้ผู้หญิงยุคก่อนต้องรอดอกไม้จากผู้ชาย ต้องรอให้ผู้ชายพาไปดินเนอร์หรูๆ และต้องยอมตามผู้ชายในหลายๆเรื่อง

 

แต่ทุกวันนี้  แม้ไม่มีผู้ชายมาเกี่ยวข้องในชีวิต พวกสตรีทั้งหลายก็ใช้ชีวิตอย่างที่พวกเธอต้องการได้อยู่แล้ว อยากได้อะไรก็เก็บเงินซื้อ(ถ้าเป็นของชิ้นใหญ่)  อยากกินดินเนอร์หรูๆก็รวมกลุ่มไปกันเองกับพวกผู้หญิงด้วยกัน ไม่เห็นต้องรอผู้ชายพาไปดินเนอร์เลย

 

ดังนั้น...ถ้าผู้ชายสักคนคิดว่า ถ้าพาสาวเจ้าออกไปดินเนอร์หรูคืนนี้แล้วสาวเจ้าจะต้องรับรักอาตมาเด็ดขาด หรือไม่ก็อาจจะมี something wrong ในคืนนั้นก็น่าจะเป็นได้นั้น....ขอบอกเลยว่าเป็นความคิดที่ไม่เวิร์คแล้วในยุคนี้ 

 

นั่นก็เพราะว่า ยุคนี้ผู้หญิงดูแลตัวเองได้แล้ว และไม่จำเป็นต้องอ่อนระทวยหรือยอมผู้ชายแค่พาไปดินเนอร์หรูๆ  ดีไม่ดีเธออาจจะคิดด้วยซ้ำไปว่า “อะไรเฟ้ย พามาดินเนอร์หรูแล้วกะจะพิชิตความสาวของชั้นเลยเนี่ยนะ มันอ่อนเชิงไปหน่อยหรือเปล่า?”

 

(หมายเหตุ...แต่ก็ไม่ใช่ว่า ดินเนอร์หรูๆ จะไม่ดี  ถ้าหากสาวเจ้ามีใจให้ไอ้หนุ่มมาก่อน เรื่องแบบนี้ก็เป็นข้อยกเว้นได้เหมือนกัน)

 

สาเหตุหลักๆที่ทำให้ ผู้หญิงไม่มีใจให้ผู้ชายที่ทุ่มเทเงินทอง พาไปดินเนอร์หรู  ซื้อของขวัญแพงๆให้ หรือ จ่ายค่าอะไรต่อมิอะไรให้เธอก็เพราะ...เธอยังไม่เกิด “แรงดึงดูดใจ” กับชายคนนั้นสักนิด

 

แรงดึงดูดใจสำหรับผู้หญิงนั้น อาจจะหมายถึง ชอบ-หลงเสน่ห์-พึงใจ หรืออะไรก็แล้วแต่จะเรียกกันไป  แต่เพื่อป้องกันความสับสนในการตีความให้มันทะลุมิติเกินไป ผู้เขียนขอใช้คำกลางๆว่า “แรงดึงดูดใจ” ก็คงจะพอสื่อได้ชัดเจนแล้ว

 

แรงดึงดูดใจคืออะไร ... แรงดึงดูดใจสำหรับผู้หญิงนั้นเปรียบเหมือนการเปิดประตูพิเศษหรือประตูวีไอพีเพื่อให้ผู้ชายคนหนึ่งเดินเข้ามาในชีวิตของเธอ

 

อธิบายคร่าวๆก็คือ  ถ้าเปรียบว่า การที่ผู้ชายสักคนจะทำให้ผู้หญิงสนใจได้หรือพิชิตใจเธอได้นั้น  ก็คล้ายๆกับการที่ชายสักคนเข้าไปสมัครงานในบริษัทที่รับพนักงานเพียงแค่ “คนเดียว” เท่านั้น

 

อาจมีคนมาสมัครงานเป็นพัน แต่ท้ายที่สุดก็ต้องคัดเหลือแค่คนเดียว   คนที่ไม่ถูกคัดเลือกก็จะถูกทิ้งเอาไว้ในห้องโถงใหญ่

 

สมมติว่าห้องโถงนั้นมีผู้ชายมารับการคัดเลือก 200 คน บริษัทก็จะสกรีนคนที่น่าสนใจออกมาได้สัก 5 คน และ 5 คนนี้เองที่ได้เข้าไปในห้องสัมภาษณ์หรือห้องวีไอพี (เปรียบได้กับเป็นคนพิเศษที่ผู้หญิงอาจจะสนใจ ให้ความสนใจมาก) จากนั้นก็จะถูกสัมภาษณ์ ยิงคำถามสารพัด กระทั่งท้ายที่สุดก็จะเหลือคนที่ต้องการที่สุดเพียง “คนเดียว” เท่านั้น

 

การที่ถูกคัดเข้าไปในห้อง วีไอพี หรือ ห้องที่ ผู้หญิงเกิด “แรงดึดดูดใจ” นั้นถือเป็นคนที่เธอเลือกแล้วว่า “ใช่”

 

ผู้คนส่วนใหญ่ที่ไม่ถูกคัด หรือไม่เป็นที่ดึงดูดใจของผู้หญิงในเรื่องทีเกี่ยวกับ “ความสัมพันธ์” ก็เพราะว่า คนเหล่านั้น “ไม่มีความโดดเด่น” หรือ “มีลักษณะของความเป็นเพื่อนมากกว่าความเป็นชายที่เธอต้องการ” และนั่นทำให้พวกเขาเหล่านั้นไม่มีโอกาสถูกคัดเข้าห้องวีไอพีหรือห้องที่เธอรู้สึกดึงดูดใจในสายตาของเธอ

 

ผู้ชายที่มีลักษณะของความเป็นเพื่อน(เป็นได้แค่เพื่อนเท่านั้น) หรือ ผู้ชายแสนดีนักบุญทุ่ม(ทุ่มเทเงินทองสารพัด รวมทั้งซื้อของขวัญต่างๆ รวมถึงให้ดอกไม้และพาไปดินเนอร์หรูๆ) ที่ไม่ทำให้เธอรู้สึกดึงดูดใจ  แม้จะทุ่มทุนเท่าไหร่ก็ได้แค่นั่งรอกันอยู่ในห้องโถงใหญ่เท่านั้น   เพราะพวกเขาไม่รู้ความจริงบางอย่างที่ทำให้เธอยอมรับหรือเปิดใจเลือกมาเป็นแฟนหรือคู่ครอง

 

การผลักดันตัวเองเข้าไปสู่ห้องแรงดึงดูดใจของผู้หญิงนั้นแท้ที่จริงแล้วไม่ได้สลับซับซ้อนแม้แต่น้อย แต่ต้องอาศัยความเข้าใจบางอย่างที่ไม่อาจใช้มาตรฐานแบบผู้ชายมาเป็นเกณฑ์ปนเข้าไปด้วย

 

ผู้หญิงจะเปิดใจหรือเกิดแรงดึงดูดใจกับผู้ชายสักคนจาก ความที่เขาทำให้เธอเชื่อมั่นได้ว่าเขาคือคนที่มั่นคงในอารมณ์ สามารถทำให้เธอรู้สึกมีความสุข มีอารมณ์ขัน และทำตัวไม่เหมือน “เพื่อน” เพราะพวกเธอพบเพื่อนมามากมายแล้วในชีวิต สิ่งที่เธอต้องการคือ ผู้ชายที่ทำให้เธอรู้สึกดึงดูดใจ รู้สึกเชื่อมั่น และแน่นอนว่าเธอจะทดสอบครั้งแล้วครั้งเล่าจนมั่นใจว่าเขาคือคนที่ใช่จริงๆ 

 

และเมื่อเธอเกิดแรงดึงดูดใจแล้ว ประตูห้องวีไอพีของเธอจะเปิดสำหรับเขาคนเดียว(หรืออาจมีตัวเลือกอีก 2-3 คนที่ดูๆกันอยู่) จากนั้นเธอจะให้ความสนใจเขามากขึ้น ทดสอบตามวิธีการของเธอมากขึ้น(โดยที่เธอเองก็ไม่รู้ตัว-เพราะมันเป็นธรรมชาติของผู้หญิงล้วนๆ) และผู้ชายก็ต้องไม่รู้สึกหวั่นไหวกับการทดสอบของเธอด้วย  เมื่อเธอมั่นใจมากขึ้นเรื่อยๆแล้ว  เรื่องอื่นๆที่เป็นธรรมชาติก็จะเดินหน้าเข้ามาเอง

 

เมื่อผู้หญิงรู้สึกสบายใจแล้ว...เธอจะมีความสุขกับทุกอย่างที่เธอถูกธรรมชาติกำหนดมาเอง มันเป็นกลไกที่เกิดขึ้นกับชีวิตมนุษย์มานานนับเป็นหมื่นๆปีแล้ว

 

สิ่งที่ผู้ชายต้องรู้ก็คือ...หากต้องการสานสัมพันธ์กับผู้หญิงสักคนเพื่อก้าวไปสู่ความสัมพันธ์แบบคู่รักเขาต้องเลิกพฤติกรรมทำตัวเป็นเพื่อน เลิกทำอะไรที่ไม่เป็นตัวของตัวเอง  เลิกถามคำถามเดิมๆในการสร้างสัมพันธภาพกับผู้หญิง

 

คำถามที่น่าเบื่อ เช่น

 

ทำงานที่ไหนครับ ? - วันนี้ทานข้าวหรือยัง? – เสาร์อาทิตย์นี้ไปเที่ยวที่ไหนกัน บอกผมมั่งสิ? งานนี้ยากมั้ย ผมเอาใจช่วยนะ...

 

ตัวอย่างคำถามคำพูดประมาณนั้น ลองเอาไปคิดดูว่ามันเป็นคำถามแบบเพื่อนหรือแบบแฟน และคิดว่าผู้หญิงเอียนกับคำถามแบบนั้นขนาดไหน  และมันเป็นคำถามพิเศษระดับที่ทำให้คุณ(ผู้ชาย)ดูแตกต่างจนเธอต้องเอามาเป็นแฟนหรือเปล่า?

 

ผู้ชายหลายคนอาจบอกว่า  อ้าว นั่นเป็นคำถามที่ดูห่วงใย เอื้ออาทรจริงๆนะ  มันผิดตรงไหน

 

บอกได้เลยว่า ไม่ผิด  แต่ อยากถามกลับว่า แล้วมันเป็นคำถามที่ทำให้ผู้หญิงอยากฟังหรือเปล่า? ไม่สงสารเธอเหรอที่ต้องฟังคำถามแบบนั้นมาตั้งแต่ยังเป็นวัยรุ่นกระทั่งถึงวัยทำงาน

 

คำถามที่สนุกๆ การเปิดประเด็นที่น่าสนใจ และมีความเป็นตัวของตัวเอง(ไม่เฟคว่าเป็นคนที่สุดจะไนซ์กายเกินเหตุ) เช่น

 

“คุณครับ รบกวนเวลาสักนิดนะครับ ช่วยเดินไปที่โต๊ะทำงานผมสักหน่อย”

 

“ทำไมคะ ไม่ไปหรอกค่ะ คุณพนักงานใหม่”

 

“ไม่อยากช่วยผมเลยเหรอครับ สงสัยจะทำงานไม่ได้แน่เลย”

 

“ปัญหาจริงคืออะไรคะ บอกตรงนี้ก็ได้”

 

“ช่วยเดินไปให้ความอบอุ่นแถวนั้นหน่อยน่ะครับ...แฮ่ะๆ”

 

เธออาจจะขำมาก ขำน้อยก็แล้วแต่ อย่างไรก็ตาม มุกแบบนั้นก็ช่วยทำลายกำแพงบางอย่างได้แล้ว...และนั่นคือบางสิ่งเล็กๆที่ทำให้คุณแตกต่างจากผู้ชายอื่นๆที่อาจจะทำตัวเป็นไนซ์กาย เป็นสุภาพบุรุษจนไม่กล้าเปิดประเด็นคำพูดตลกๆแบบนั้น 

 

เรื่องแบบนี้อาจดูเป็นเรื่องฝืดๆสำหรับผู้ชาย แต่ในสายตาผู้หญิงแล้ว มันเป็นการ “เริ่มต้น” ของการสร้างความสนใจในตัวเธอ และหากชายคนนั้นยิงมุขขำๆเป็นระยะๆ  ตามจังหวะที่เหมาะสม เธอจะเริ่มเปิดใจมากยิ่งขึ้นเรื่อยๆ กระทั่งกลายเป็นการเกิดแรงดึงดูดใจพิเศษที่ทำให้เธอเริ่มเปิดประตูที่ไม่เคยเปิดให้ใครเคยเข้ามาก่อนให้กับชายคนนั้น

 

ซึ่งเรื่องแบบนั้นไม่เคยเกิดกับผู้ชายแวดล้อมเธอที่ทำตัวเป็นไนซ์กาย ไม่กล้าพูด ไม่กล้าสร้างอารมณ์ขันหรือล้อเล่นกับเธอเลย

 

ผู้หญิงมองผู้ชายที่มีอารมณ์ขันว่าเป็นคนน่าสนใจ และมองว่าการที่ใครสักคนโดยเฉพาะผู้ชายจะมีอารมณ์ขันได้นั้นเขาจะต้องสามารถกำจัดปัญหาบางอย่างหรือควบคุมปัญหาบางอย่างได้แล้วจึงมีความสบายใจมากพอที่จะผ่อนคลาย ด้วยการมีอารมณ์ดี  ตามต่อมาด้วยอารมณ์ขัน

 

บางทีการที่เรามองว่าใครสักคนเป็นคนมีอารมณ์ขันในมุมมองที่มองแค่เรื่องตลกๆนั้นอาจจะเป็นการมองที่แคบเกินไป ถ้าสงสัยเรื่องนี้คงต้องยกตัวอย่างคำกลอนบทหนึ่งที่ว่า

 

เป็นการง่าย...ยิ้มได้...ไม่ต้องฝืน

 

เมื่อชีพชื่น...เหมือนบรรเลง...เพลงสวรรค์

 

แต่ที่คน...ชื่นชม...นิยมกัน

 

คือใจมั่น...ยิ้มได้...เมื่อภัยมา

 

ฟังคำกลอนโบราณข้างต้นแล้วคงได้คิดว่า เรื่องพวกนี้  คนไทยโบราณมองละเอียดนัก  มองว่าคนที่คุมอารมณ์และเป็นผู้นำได้นั้นจะต้องยิ้มได้ตามธรรมชาติ(จากใจจริง)ในทุกสภาวะ  โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อมีความกดดันต่างๆ  และสิ่งนั้นเมื่อนำมาปรับใช้กับการมองคนของผู้หญิงอย่างใช้สมองจริงๆจังๆนั้นจะทำให้เห็นได้ว่า มุมมองของผู้หญิงที่ฝากความมั่นใจเอาไว้กับผู้ชายที่ยิ้มได้เมื่อภัยมา หรือมีอารมณ์ขัน หรืออารมณ์ดีอย่างถูกที่ถูกทางนั้นช่างสอดคล้องกับชีวิตที่มีความสุขในใจของพวกเธอเป็นอย่างยิ่ง

 

ไม่แปลกที่เธอมองผู้ชายที่มีอารมณ์ขันมากกว่านั้นอีก คือมองว่าเป็นคนที่มีอารมณ์มั่นคง และนี่คือหนึ่งในหลายๆปัจจัยที่เกิดเป็นแรงดึงดูดใจในฟากของผู้หญิง  

 

อย่างไรก็ตาม อารมณ์ขันอย่างเดียวเป็นองค์ประกอบหนึ่งเท่านั้น  ยังมีองค์ประกอบอื่นๆอีกเช่น ความเป็นชายชาตรี ความสามารถในการหาเลี้ยงชีพ และอื่นๆ แต่ ความแข็งแรงทางอารมณ์นั้นเป็นสิ่งที่ผู้หญิงชื่นชมเพราะทำให้ชีวิตของเธอมีความสุขได้ตลอดเวลา

 

มาถึงตอนนี้แล้ว...คงเห็นภาพของการทุ่มเทวัตถุมากมายให้ผู้หญิงเรือนแสนเรือนล้าน ก็ไม่อาจเทียบได้กับความสุขทางอารมณ์ที่เธอได้จากชายที่มีความมั่นคงและเป็นผู้นำให้กับเธอได้.... จริงอยู่เงินทองนั้นมีความสำคัญ แต่ถ้าจะใช้เงินทองซื้อความรักนั้นเป็นสิ่งที่เป็นไปไม่ได้สำหรับผู้หญิง

 

แน่นอนว่าเธออาจเป็นนกน้อยในกรงทองของใครบางคนได้...แต่หัวใจของเธออาจให้กับใครบางคนที่รู้ใจเธอจริงๆเท่านั้น  และคนๆนั้นคือคนที่เธอเกิดแรงดึงดูดใจอย่างรุนแรงกับเขา กระทั่งก้าวไปสู่จุดที่ล้ำลึกกว่านั้นได้เป็นไหนๆ

Pete@Copyright

 

ความคิดเห็น
ผู้แสดงความคิดเห็น

To Khun Kom

ขอบคุณที่แวะมาทักทายครับ ข้าน้อยเป็นปลื้มเสียนี่กระไรเลย วันหน้าวันหลังขอเชิญมาแอ่วที่บัญชร-กระทู้ได้เสมอครับ จะต้อนรับด้วยน้ำใจและอัธยาศัยพอให้ได้แช่มชื่นเสมอ หลังจากแวะเยี่ยมชมกระทู้นี้แล้ว ไม่ทราบว่าจะจรลีไปทิศทางใดต่อครับ

เส้นทางสายไหมนั้นยาวไกล เกรงว่าท่านจะไม่พบร้านติ๊มซำระหว่างทาง อย่างไรก็ตาม โปรดระวังตัวด้วยนะครับ

เอ้า...เสี่ยวเอ้อทั้งหลาย เอาขนมจีบ ซาละเปา มาเลี้ยงแขกสักหน่อย(เลียนแบบเซเว่นฯ)

ขอเชิญพักให้ซำบาย มาเจรจาความเมืองกันได้ตลอดครับ...ยินดี ยินดี ยินดี
แสดงความคิดเห็นเมื่อ : 19/6/2560 22:49:21
ผู้แสดงความคิดเห็น

To Khun Enjoy

การเดินทางสาย "เส้นทางโสด" นั้นดีเสมอครับ จะหงุดหงิดใจอยู่บ้างก็ตอนที่เดินอยู่คนเดียวนานๆๆๆๆๆๆๆๆ เกินไปจนหัวใจเริ่มจะ "งอแง" เอาซะบ้าง

แต่...เส้นทางโสดก็ให้ความสุขจนมีสติได้เสมอ (ขอพูดแบบสัมผัสในซะนิด)

ยินดีที่แวะเวียนมาครับ....
แสดงความคิดเห็นเมื่อ : 19/6/2560 22:52:12
ผู้แสดงความคิดเห็น

To Khun Mam

และแล้วกระทู้นี้จะขาดซึ่งคุณแหม่มไปได้เช่นไรเล่า

มาถึงก็ดีแล้ว เอาเบเกอรี่ที่ร้านมาเทกินกับกาแฟที่บ้านผมซะเลย

แหม มีฟรุตเค้กของโปรด ตามด้วยแยมโรล และเอแคลร์ แต่ยังขาดอะไรนะ...

อ้าว..."เค้กแห่งการใส่ใจสำหรับคนพิเศษ" นั่นเอง

ล้อเล่นนิดๆหน่อยๆไม่ว่ากันนะครับ

ยินดีที่ได้คุยกับ Bakery Queen ครับ
แสดงความคิดเห็นเมื่อ : 19/6/2560 22:54:46
ผู้แสดงความคิดเห็น

เด่วเอา เอแคล์ไป นั่งกินกับกาแฟที่ร้านคุณพีท ท่าจะดี 555
แสดงความคิดเห็นเมื่อ : 20/6/2560 6:45:00
ผู้แสดงความคิดเห็น

ขอบคุณคุณพีทครับ
ข้อยซาบซึ้งใจหลายครับ
แสดงความคิดเห็นเมื่อ : 20/6/2560 15:35:18
ผู้แสดงความคิดเห็น

จริงคับ.
555 ยิ้มได้เมื่อภัยมา.กลอนบทนั่นอยุ่ในหนังสือเพชรพระอุมา ผมจำได้ผมเคยยืมของตาผินมาอ่าน เล่าย่อๆ
"รพินถูกน้ำป่าพัดพาให้หลงกับกลุ่มพรานถึงคราวโชคร้ายนางเอกดันถูกพัดมาด้วย ติดเกาะกันอยู่สองคนสามวันสามคืน.หม่อมราชวงศ์หญิง ดร.ดารินวราฤทธิ์ผู้ซึ่งขาวอวบอยุ่เสื้อผ้าขาดแหว่งโหว่วไปทั้งตัวเพราะแรงน้ำ เกิดอาการหวาดหวั่น ระคนสั่นหนาวในยามค่ำของคืนกลางป่าเปลี่ยว เกรงจะพบน้องเปรี้ยวหั่นศพ จึงเกิดเพลียเผลอหลับซะงั้น แต่พระเอกรพินนิ่ง เหตุเพราะกล้ามเนื้ออ่อนแรงอันเป็นโรคประจำตัว มิกล้าบอกใคร.แอฟแมนไปวันๆ ขนาดเปลี่ยนเสื้อผ้าขาดเอาของตัวใส่ให้ เสื้อในปลดตะขอซักตาก แล้วนั่งเฝ้ายามนิ่งๆ ยันเช้ามันยังทำได้ลงคอ คืนสุดท้ายคุณหญิงเกิดเซ็งเป็ดเอ้ยเกิดฝันร้ายตกใจเผลอซบอกพราน พรานเลย..อดใจไม่ไหว เอ่ยบทกวีข้างต้นของคุณพิทให้ฟัง
แล้วก็หลับไป...
ถามว่าเล่าเรื่องนี้ทำไม?...ใครถาม?
บางทีถ้า ขนาดนี้ยังไม่เสียตัว มันก้อทำร้ายจิตรใจกันเกิ้น คำถามไมมันไม่เอากรูฟะ ก้ออาจเกิดขึ้นได้
จะพบว่าดีอาจโดนด่าได้555
ถ้า
ย้อนไปอ่านประโยคแรกที่ผมบอกว่า "จริงครับ"
นั่นผมจะบอกอะไร?....(จะถามทำไม)

จริงครับ ทักไปกินข้าวยัง ทำไรอยุ่ นอนยัง ฝันดี
ไม่มีตอบ..ตอบก้อแบบถามคำตอบคำ ไร้อารมณ์ร่วม
ผมเลยคิดหาประโยคเด็ด..ชนิดวัดกันไปเลย ว่า! "ยืมตังพันนึงสิ ไม่มีตังกินข้าว"
ถ้ามีใจรับรองต้องตอบยาวเหยียด แต่ถ้าไม่มีใจจะตอบมาแค่คำเดียวสั้นๆว่า...
เฮ้อ ไร้สาระจริงๆ
แสดงความคิดเห็นเมื่อ : 21/6/2560 1:07:14
ผู้แสดงความคิดเห็น


-----Don't look for a big things, just do small things with great love....

The smaller the thing,the greater must be our love-----

Mother Teresa.
แสดงความคิดเห็นเมื่อ : 21/6/2560 9:12:34
ผู้แสดงความคิดเห็น

To Por,

Appreciated for lovely comment taken from Sister Teresa.

Well, now, I'm looking for the LITTLE BIG THINGS;it's to harmonize to what you brought comment here.

Million Thanks, Por.
แสดงความคิดเห็นเมื่อ : 21/6/2560 11:09:40
ผู้แสดงความคิดเห็น

To Khun Nu

ชอบใจที่ยกเอาเรื่องรพินทร์ใน "เพชรพระอุมา" มาบรรยายเล็กๆตรงนี้ครับ

อึมม์ รพินทร์อาจจะไม่ได้อย่างใจ มรว.ดาริน แต่ ย้อนกลับไปอ่านตอนที่รพินทร์เจอกับแหม่มมาเรีย ชาวเยอรมัน...ผมว่าคุณนุคงต้องครางด้วยอารมณ์หวิวแน่ๆ เพราะหนุ่มไทยกับสาวเยอรมันนั้นเดินทางไปสวรรค์กันจนแหม่มมาเรียแทบไม่อยากกลับประเทศครับ

คงพอจำได้นะครับว่า คุณพี่พนมเทียนแกบรรยายว่า รพินนทร์นั้นบอกอาการ "ผิดกลิ่น" กลับสาวแหม่มว่า ประดุจดัง "กลิ่นผักชียี่หร่า" ชัดเจน ลองกลับไปค้นหน้านั้นดูอีกทีครับ

ลงว่าเป็นแบบนั้นแล้ว ผมว่าภาพนั้นสะท้อนความแมนของรพินทร์ได้เต็มกอบเต็มกำ แต่ เวลาที่เขาอยู่กับดารินนั้น...แฮ่ม...อาจมีโมเมนต์ "ระวังรักษาของ" จนคนอ่านหงุดหงิดเท่านั้นละครับ

ขอบคุณนะครับคุณนุที่มาร่ายเวทย์แถวๆนี้
แสดงความคิดเห็นเมื่อ : 21/6/2560 11:20:22
ผู้แสดงความคิดเห็น

To Khun Mam

ขอบคุณเรื่องขนมเอแคลร์ครับ...นึกแล้วอยากทานจริงๆ ขนมลูกกลมๆใส้หอมๆสีครีมล้นเหลืออยู่ภายใน กัดเข้าไปแต่ละคำฟินไปถึงสวรรค์ โอ้ มันช่างบรรเจิดอะไรเช่นนั้น

อึมม์ คุณแหม่มจะมาทานที่ร้านของผมเหรอครับ...แฮ่ม ตอนนี้ยังไม่มีร้านเป็นของตัวเองครับ ว่าจะเปิดร้านอยู่เหมือนกัน มีเงินทุน มีอุปกรณ์ครบทุกอย่างแล้ว ขาดแต่ "ค่าแท็กซี่"ไปขอใบอนุญาติเปิดร้านเท่านั้นเอง (555)

สงสัยคุณแหม่มคงชอบทำขนมฝรั่งน่าดูชมเลย ... ตอนนี้ผมอยากกินขนมปังปิ้งเกรียมๆ วางหมูหยอง ต่อด้วยหมูหวาน แล้วเอาอีกแผ่นประกบ แบบนี้ก็อร่อยดีนะครับ กินกับกาแฟขมๆเยี่ยมไปเลย อย่าถามนะครับว่าสูตรใคร สูตรของผมเองครับทำตอนหิวๆหลังเที่ยงคืน (นิสัยไม่ดีเลยกินมื่อเช้าวันใหม่ก่อนตีหนึ่ง...เชอะ)

ขอบคุณคุณแหม่มที่แวะมาคุยครับ
แสดงความคิดเห็นเมื่อ : 21/6/2560 11:28:27
ผู้แสดงความคิดเห็น

To.k.Pete ไม่มีค่าแท็กซี่เด่วออกให้ค่ะ555 ชอบกินขนมปังใส่หมูหยองใช่ไหมค่ะต้องเอาขนมปังธัญพืช ที่ร้านไปปิ้งดูแล้วละค่ะรับรองอร่อยไม่ยอมแบ่งใครเชี่ยวละค่ะ เปิดร้านเมื่อไหร่อย่าลืมบอกพิกัดมานะค่ะ มีโอกาสไป กทม.จะไปแวะแน่นอนค่ะ
แสดงความคิดเห็นเมื่อ : 21/6/2560 14:30:54
ผู้แสดงความคิดเห็น

ผู้หญิงชอบให้ชายทำไงก้อได้ให้เธอสนใจไม่ต้อง pay หรือสุภาพบุรุษมากหรอก เงิน ญ หาเองได้ บางทีอาจคิดว่าใช้เงินซื้ออีก ส่วนสุภาพบุรุษกว่าจะจับต้องได้นานไปจนบางทีเริ่มเบื่อและอึดอัดที่ต้องทนดูคบ
แสดงความคิดเห็นเมื่อ : 21/6/2560 22:23:15
ผู้แสดงความคิดเห็น

ถูกนะ ญ สมัยนี้ไม่ต้อง pay หรอกหาเองได้ ต้องการเเค่คนที่ดูเเล รักเรามากกว่าเงินทอง ส่วนสุภาพบุรุษอ่ะ ญ ทุกคนชอบนะ เเต่มันนานไปบางทีก้อไม่รอ เพราะอยู่เองได้ รอไปก้อไม่รู้ใช่ไหม ขอเเสดงความคิดเห็นนะคะ
แสดงความคิดเห็นเมื่อ : 21/6/2560 22:25:47
ผู้แสดงความคิดเห็น

To Ople

ขอบคุณครับคุณเปิ้ลที่มาร่วมวงคอมเมนต์กันให้เอิกเกริก

แสดงความคิดเห็นเมื่อ : 21/6/2560 23:25:07
ผู้แสดงความคิดเห็น

ใช่แล้วค่ะ ผญ สมัยนี้ ทำงานได้ ไม่ได้ต้องการให้ ผช มาเลี้ยงดู อย่างแต่ก่อน ถูกต้องเลยข้อนี้ มีความมั่นใจในตัวเองสูง แต่ที่เค้าต้องการคือ ความเอาใจใส่ ห่วงใย จริงใจ ห่วงหาอาทร กันมากกว่า สิ่งของ จริง ๆ ค่ะ แต่ ผญ เค้าก่จะ มีบทพิสูจน์ อย่างคุณพีทว่า แหละค่ะ พอรู้ความจริงก่พร้อมจะไปทันทีเหมือนกัน เพราะฉะนั้นเข้าของเงินทองไม่ได้สำคัญ เท่ากับคุณแสดงความจริงใจ หรือยัง หรือ ว่านเสน่ห์ ไปวันๆ ทุ่มทุน สร้าง ก่ต้อง รอรับความผิดหวังไป นะค่ะ มีแค่นี้ค่ะ ที่จะคอมเม้น เด่วนึกอะไรออก ค่อยมาต่อใหม่ นะค่ะ
แสดงความคิดเห็นเมื่อ : 19/6/2560 7:17:19
ผู้แสดงความคิดเห็น

Khun Mam

ขอบคุณนะครับที่ให้ความเห็นชัดเจนมากๆ

สักวันคุณแหม่มจะพบคนที่ชัดเจนและเป็นคนที่คุณแหม่มรักได้อย่างมีความสุขครับ

Happy นะครับคุณแหม่ม
แสดงความคิดเห็นเมื่อ : 19/6/2560 13:55:53
ผู้แสดงความคิดเห็น

ฟังเขามา เขาว่าเรื่องของหัวใจ
จะเด็กหรือโตเพียงใด ยังไงใจก็เท่ากำมือ
ถ้าหากใจต้องกัน คล้ายๆจะมีคลื่นอะไรบางอย่าง
กระจายส่งไป จากใจถึงใจ
(มีเล็กน้อย-ติ้ก ชีโร่)
คนแบบที่คุณแหม่มพูดถึงมีอยู่จริงครับ เพียงแต่มีน้อยที่ผ่านมาผมยังไม่เคยพบเจอครับ
เกี่ยวกับบทความคุณพีท อ่านเพลินดีครับ (บ่ฮู้สิเว่าหยัง)
แสดงความคิดเห็นเมื่อ : 19/6/2560 18:11:24
ผู้แสดงความคิดเห็น

ใช่ค่ะ ผญ. ปัจจุบันไม่ต้องพึ่ง ผช. ให้มาเลี้ยดูเสมอไป เพราะ ผญ.สมัยนี้ทำงานเลี้ยงดูตัวเองได้สบายๆ บางคนอาจไม่ได้เดือดร้อนเรื่องเงินทองด้วยซ้ำ การที่ ผช. ทุ่มเทให้หมดทุกสิ่งทุกอย่าง ผญ. อาจจะไม่ชอบเสมอไป บางทีอาจจะทำให้รำคาญ หรือรู้สึกน่าเบื่อ (ทำจนชิน
จนไม่รู้สึกตื่นเต้นหรือรู้สึกพิเศษ) แต่ไม่ใช่ ผญ. ทุกคนหรอกนะที่ไม่ชอบ แต่ละคนก็แตกต่างกันไป (เป็นกลางนะค่ะ) บางทีเงินทองอาจจะไม่ใช่ตัวแปรสำคัญที่จะคบกัน ผญ. อาจจะต้องการแค่ความเสมอต้นเสมอปลาย ความเข้าใจ และการดูแลเอาใจใส่ แค่นั้นก็พอ........# แต่ที่สำคัญ....ตอนนี้ยังไม่เจอเลย....ขออยู่เป็นโสดอย่างนี้ดีกว่าเนาะ...555+++#
แสดงความคิดเห็นเมื่อ : 19/6/2560 19:43:36
ผู้แสดงความคิดเห็น

To.คุณ คม คนแบบที่แหม่มว่าคงมีอยู่น้อย จริง ๆ แหละค่ะ ถ้าไม่เจอ ก่ขออยู่เป็นโสดแบบนี้ดีกว่าค่ะ ิTo.คุณพีท ขอบคุณสำหรับคำอวยพรนะค่ะ
แสดงความคิดเห็นเมื่อ : 19/6/2560 21:39:07