ทุ่มทุนทุกอย่างแต่ทำไมสาวเจ้าถึงไม่รักเสียที – Whatever I paid for her, I could not win her heart
คุ้นๆบ้างมั้ยกับประโยคทำนองนี้
...ผมทุ่มเทเงินทองให้เธอเท่าไหร่ แต่เธอไม่เคยรักผมเลย ไม่แม้แต่จะให้ความสนใจด้วยซ้ำ
...อุตส่าห์พาไปเลี้ยงดินเนอร์สุดหรู เปิดแชมเปญขวดละหลายหมื่น แต่เธอแค่บอก “ขอบคุณค่ะ” เท่านั้น
...สิ้นเดือนก็จ่ายค่าหอพักให้ แถมด้วยจ่ายค่าน้ำค่าไฟค่าโทรศัพท์และค่าผ่อนของสารพัดอย่าง แต่ผลสุดท้ายเธอก็หันไปคบกับนักดนตรีร็อกซะงั้น
...ซื้อดอกไม้ให้ทุกวัน วันพิเศษก็ให้ดอกไม้ช่อโตๆ ทำอย่างนี้เป็นประจำแต่เธอกลับมองเห็นผมเป็นแค่ “เพื่อน” สนิทคนหนึ่งเท่านั้น
...ผมทำดีกับเธอทุกอย่าง ซื้อของที่เธอต้องการ ขออะไรเป็นได้หมด ผมทำแบบนั้นเป็นเดือนเป็นปี แต่แล้วจู่ๆพนักงานออฟฟิซคนใหม่หน้าตาไม่หล่อสักครึ่งของผมด้วยซ้ำกลับคาบเธอไปกินหน้าตาเฉย ผมละเซ็งจริงๆ
...ฯลฯ ที่เกี่ยวกับการทุ่มเทเงินทอง ความรัก การเอาใจใส่ ให้กับผู้หญิงที่หมายปองแต่กลับพบว่าไม่อาจทำให้เธอรักได้ในท้ายที่สุด
เกิดอะไรขึ้นกับชายเหล่านั้นจนต้องออกมาพูดหรือบ่นกันเป็นประจำ
ความคิดของผู้ชายทั่วๆไปก็คือ เมื่อทุ่มเทเงินทอง ความใส่ใจ ความรัก และเวลาให้กับผู้หญิงที่ตนสนใจ อย่างน้อยสาวๆเหล่านั้นก็น่าจะมีใจให้พวกเขาบ้าง เพราะวิธีที่พวกเขาทำนั้นก็ช่างแสนจะเข้าข่าย ผู้ชายที่แสนดี โรแมนติก อบอุ่น และมีความรักอย่างจริงใจให้กับสาวๆที่เป็นเป้าหมาย
จริงอยู่ แม้จะเป็นเรื่องของการทุ่มเทอย่างจริงใจก็ตาม แต่เรื่องพวกนั้นไม่มีใครการันตีได้ว่าผู้หญิงจะเป็นฝ่ายที่ประทับใจในทุกสิ่งที่ผู้ชายนำเสนอให้ (อาจมีผู้หญิงส่วนน้อยที่หลงรักผู้ชายเพราะได้ของเหล่านั้น แต่ก็มีบางส่วนที่ไม่ยอมทรยศใจตัวเองเพื่อให้ฝืนใจรักตามจำนวนเงินทองและข้าวของที่ผู้ชายทุ่มเทให้)
ดูราวกับว่าเรื่องทั้งหมดเป็นสิ่งที่ผู้ชายมักคิดฝ่ายเดียวว่า ถ้าทำแบบนั้นแล้ว ผลลัพธ์จะต้องออกมาเป็นแบบนั้น หรือดูคล้ายๆ “การลงทุน” ที่ลงทุนไปจำนวนหนึ่งก็ย่อมได้ผลแบบที่ต้องการ
แบบนั้นถือเป็น “การเก็งกำไรเกินควรหรือไม่?”
นั่นก็เพราะว่า ... ผู้ชายนักทุ่มเหล่านั้นคิดตามความคิดของตนฝ่ายเดียว แต่ไม่เคยดูทางฝั่งผู้หญิงว่ามีความคิดอย่างไรกับสิ่งของต่างๆที่ผู้ชายทุ่มเทให้ราวกับต้องการจะ “ซื้อความรัก” จากชีวิตของพวกเธอ
โลกทุกวันนี้เปลี่ยนไปมากมายแล้ว...ทุกวันนี้ ผู้หญิงส่วนใหญ่พึ่งพาตัวเองได้ สามารถทำงานเลี้ยงตัวเองได้ พวกเธอมีรายได้สูง รายได้ดี และสามารถสรรหาสิ่งของที่เธอต้องการได้ด้วยตัวเอง ด้วยความสามารถ และถ้าชีวิตขาดผู้ชายมาเคียงคู่พวกเธอก็ไม่ยอมงอมืองอเท้าให้อดตาย หากแต่จะทำทุกทางเพื่อความอยู่รอด
ในเมื่อผู้หญิงทุกวันนี้สามารถดูแลตัวเองได้ มุมมองในหลายๆเรื่องในอดีตก็ย่อมเปลี่ยนแปลงไปด้วยชนิดหน้ามือเป็นหลังมือ
สมัยก่อน ผู้หญิงต้องง้อผู้ชายในการเลี้ยงครอบครัว พวกเธอต้องทำตัวดีเพื่อให้สามีหรือแฟนเลี้ยงดู และนั่นคือโลกโบราณที่ผู้ชาย “อาจจะ” ใช้เงินทองในการทำให้ผู้หญิงหรือครอบครัวของเธอมั่นใจได้ว่าเขาจะดูแลเธอได้ตลอดรอดฝั่ง และนั่นอาจจะเป็นสิ่งที่ทำให้ผู้หญิงยุคก่อนต้องรอดอกไม้จากผู้ชาย ต้องรอให้ผู้ชายพาไปดินเนอร์หรูๆ และต้องยอมตามผู้ชายในหลายๆเรื่อง
แต่ทุกวันนี้ แม้ไม่มีผู้ชายมาเกี่ยวข้องในชีวิต พวกสตรีทั้งหลายก็ใช้ชีวิตอย่างที่พวกเธอต้องการได้อยู่แล้ว อยากได้อะไรก็เก็บเงินซื้อ(ถ้าเป็นของชิ้นใหญ่) อยากกินดินเนอร์หรูๆก็รวมกลุ่มไปกันเองกับพวกผู้หญิงด้วยกัน ไม่เห็นต้องรอผู้ชายพาไปดินเนอร์เลย
ดังนั้น...ถ้าผู้ชายสักคนคิดว่า ถ้าพาสาวเจ้าออกไปดินเนอร์หรูคืนนี้แล้วสาวเจ้าจะต้องรับรักอาตมาเด็ดขาด หรือไม่ก็อาจจะมี something wrong ในคืนนั้นก็น่าจะเป็นได้นั้น....ขอบอกเลยว่าเป็นความคิดที่ไม่เวิร์คแล้วในยุคนี้
นั่นก็เพราะว่า ยุคนี้ผู้หญิงดูแลตัวเองได้แล้ว และไม่จำเป็นต้องอ่อนระทวยหรือยอมผู้ชายแค่พาไปดินเนอร์หรูๆ ดีไม่ดีเธออาจจะคิดด้วยซ้ำไปว่า “อะไรเฟ้ย พามาดินเนอร์หรูแล้วกะจะพิชิตความสาวของชั้นเลยเนี่ยนะ มันอ่อนเชิงไปหน่อยหรือเปล่า?”
(หมายเหตุ...แต่ก็ไม่ใช่ว่า ดินเนอร์หรูๆ จะไม่ดี ถ้าหากสาวเจ้ามีใจให้ไอ้หนุ่มมาก่อน เรื่องแบบนี้ก็เป็นข้อยกเว้นได้เหมือนกัน)
สาเหตุหลักๆที่ทำให้ ผู้หญิงไม่มีใจให้ผู้ชายที่ทุ่มเทเงินทอง พาไปดินเนอร์หรู ซื้อของขวัญแพงๆให้ หรือ จ่ายค่าอะไรต่อมิอะไรให้เธอก็เพราะ...เธอยังไม่เกิด “แรงดึงดูดใจ” กับชายคนนั้นสักนิด
แรงดึงดูดใจสำหรับผู้หญิงนั้น อาจจะหมายถึง ชอบ-หลงเสน่ห์-พึงใจ หรืออะไรก็แล้วแต่จะเรียกกันไป แต่เพื่อป้องกันความสับสนในการตีความให้มันทะลุมิติเกินไป ผู้เขียนขอใช้คำกลางๆว่า “แรงดึงดูดใจ” ก็คงจะพอสื่อได้ชัดเจนแล้ว
แรงดึงดูดใจคืออะไร ... แรงดึงดูดใจสำหรับผู้หญิงนั้นเปรียบเหมือนการเปิดประตูพิเศษหรือประตูวีไอพีเพื่อให้ผู้ชายคนหนึ่งเดินเข้ามาในชีวิตของเธอ
อธิบายคร่าวๆก็คือ ถ้าเปรียบว่า การที่ผู้ชายสักคนจะทำให้ผู้หญิงสนใจได้หรือพิชิตใจเธอได้นั้น ก็คล้ายๆกับการที่ชายสักคนเข้าไปสมัครงานในบริษัทที่รับพนักงานเพียงแค่ “คนเดียว” เท่านั้น
อาจมีคนมาสมัครงานเป็นพัน แต่ท้ายที่สุดก็ต้องคัดเหลือแค่คนเดียว คนที่ไม่ถูกคัดเลือกก็จะถูกทิ้งเอาไว้ในห้องโถงใหญ่
สมมติว่าห้องโถงนั้นมีผู้ชายมารับการคัดเลือก 200 คน บริษัทก็จะสกรีนคนที่น่าสนใจออกมาได้สัก 5 คน และ 5 คนนี้เองที่ได้เข้าไปในห้องสัมภาษณ์หรือห้องวีไอพี (เปรียบได้กับเป็นคนพิเศษที่ผู้หญิงอาจจะสนใจ ให้ความสนใจมาก) จากนั้นก็จะถูกสัมภาษณ์ ยิงคำถามสารพัด กระทั่งท้ายที่สุดก็จะเหลือคนที่ต้องการที่สุดเพียง “คนเดียว” เท่านั้น
การที่ถูกคัดเข้าไปในห้อง วีไอพี หรือ ห้องที่ ผู้หญิงเกิด “แรงดึดดูดใจ” นั้นถือเป็นคนที่เธอเลือกแล้วว่า “ใช่”
ผู้คนส่วนใหญ่ที่ไม่ถูกคัด หรือไม่เป็นที่ดึงดูดใจของผู้หญิงในเรื่องทีเกี่ยวกับ “ความสัมพันธ์” ก็เพราะว่า คนเหล่านั้น “ไม่มีความโดดเด่น” หรือ “มีลักษณะของความเป็นเพื่อนมากกว่าความเป็นชายที่เธอต้องการ” และนั่นทำให้พวกเขาเหล่านั้นไม่มีโอกาสถูกคัดเข้าห้องวีไอพีหรือห้องที่เธอรู้สึกดึงดูดใจในสายตาของเธอ
ผู้ชายที่มีลักษณะของความเป็นเพื่อน(เป็นได้แค่เพื่อนเท่านั้น) หรือ ผู้ชายแสนดีนักบุญทุ่ม(ทุ่มเทเงินทองสารพัด รวมทั้งซื้อของขวัญต่างๆ รวมถึงให้ดอกไม้และพาไปดินเนอร์หรูๆ) ที่ไม่ทำให้เธอรู้สึกดึงดูดใจ แม้จะทุ่มทุนเท่าไหร่ก็ได้แค่นั่งรอกันอยู่ในห้องโถงใหญ่เท่านั้น เพราะพวกเขาไม่รู้ความจริงบางอย่างที่ทำให้เธอยอมรับหรือเปิดใจเลือกมาเป็นแฟนหรือคู่ครอง
การผลักดันตัวเองเข้าไปสู่ห้องแรงดึงดูดใจของผู้หญิงนั้นแท้ที่จริงแล้วไม่ได้สลับซับซ้อนแม้แต่น้อย แต่ต้องอาศัยความเข้าใจบางอย่างที่ไม่อาจใช้มาตรฐานแบบผู้ชายมาเป็นเกณฑ์ปนเข้าไปด้วย
ผู้หญิงจะเปิดใจหรือเกิดแรงดึงดูดใจกับผู้ชายสักคนจาก ความที่เขาทำให้เธอเชื่อมั่นได้ว่าเขาคือคนที่มั่นคงในอารมณ์ สามารถทำให้เธอรู้สึกมีความสุข มีอารมณ์ขัน และทำตัวไม่เหมือน “เพื่อน” เพราะพวกเธอพบเพื่อนมามากมายแล้วในชีวิต สิ่งที่เธอต้องการคือ ผู้ชายที่ทำให้เธอรู้สึกดึงดูดใจ รู้สึกเชื่อมั่น และแน่นอนว่าเธอจะทดสอบครั้งแล้วครั้งเล่าจนมั่นใจว่าเขาคือคนที่ใช่จริงๆ
และเมื่อเธอเกิดแรงดึงดูดใจแล้ว ประตูห้องวีไอพีของเธอจะเปิดสำหรับเขาคนเดียว(หรืออาจมีตัวเลือกอีก 2-3 คนที่ดูๆกันอยู่) จากนั้นเธอจะให้ความสนใจเขามากขึ้น ทดสอบตามวิธีการของเธอมากขึ้น(โดยที่เธอเองก็ไม่รู้ตัว-เพราะมันเป็นธรรมชาติของผู้หญิงล้วนๆ) และผู้ชายก็ต้องไม่รู้สึกหวั่นไหวกับการทดสอบของเธอด้วย เมื่อเธอมั่นใจมากขึ้นเรื่อยๆแล้ว เรื่องอื่นๆที่เป็นธรรมชาติก็จะเดินหน้าเข้ามาเอง
เมื่อผู้หญิงรู้สึกสบายใจแล้ว...เธอจะมีความสุขกับทุกอย่างที่เธอถูกธรรมชาติกำหนดมาเอง มันเป็นกลไกที่เกิดขึ้นกับชีวิตมนุษย์มานานนับเป็นหมื่นๆปีแล้ว
สิ่งที่ผู้ชายต้องรู้ก็คือ...หากต้องการสานสัมพันธ์กับผู้หญิงสักคนเพื่อก้าวไปสู่ความสัมพันธ์แบบคู่รักเขาต้องเลิกพฤติกรรมทำตัวเป็นเพื่อน เลิกทำอะไรที่ไม่เป็นตัวของตัวเอง เลิกถามคำถามเดิมๆในการสร้างสัมพันธภาพกับผู้หญิง
คำถามที่น่าเบื่อ เช่น
ทำงานที่ไหนครับ ? - วันนี้ทานข้าวหรือยัง? – เสาร์อาทิตย์นี้ไปเที่ยวที่ไหนกัน บอกผมมั่งสิ? งานนี้ยากมั้ย ผมเอาใจช่วยนะ...
ตัวอย่างคำถามคำพูดประมาณนั้น ลองเอาไปคิดดูว่ามันเป็นคำถามแบบเพื่อนหรือแบบแฟน และคิดว่าผู้หญิงเอียนกับคำถามแบบนั้นขนาดไหน และมันเป็นคำถามพิเศษระดับที่ทำให้คุณ(ผู้ชาย)ดูแตกต่างจนเธอต้องเอามาเป็นแฟนหรือเปล่า?
ผู้ชายหลายคนอาจบอกว่า อ้าว นั่นเป็นคำถามที่ดูห่วงใย เอื้ออาทรจริงๆนะ มันผิดตรงไหน
บอกได้เลยว่า ไม่ผิด แต่ อยากถามกลับว่า แล้วมันเป็นคำถามที่ทำให้ผู้หญิงอยากฟังหรือเปล่า? ไม่สงสารเธอเหรอที่ต้องฟังคำถามแบบนั้นมาตั้งแต่ยังเป็นวัยรุ่นกระทั่งถึงวัยทำงาน
คำถามที่สนุกๆ การเปิดประเด็นที่น่าสนใจ และมีความเป็นตัวของตัวเอง(ไม่เฟคว่าเป็นคนที่สุดจะไนซ์กายเกินเหตุ) เช่น
“คุณครับ รบกวนเวลาสักนิดนะครับ ช่วยเดินไปที่โต๊ะทำงานผมสักหน่อย”
“ทำไมคะ ไม่ไปหรอกค่ะ คุณพนักงานใหม่”
“ไม่อยากช่วยผมเลยเหรอครับ สงสัยจะทำงานไม่ได้แน่เลย”
“ปัญหาจริงคืออะไรคะ บอกตรงนี้ก็ได้”
“ช่วยเดินไปให้ความอบอุ่นแถวนั้นหน่อยน่ะครับ...แฮ่ะๆ”
เธออาจจะขำมาก ขำน้อยก็แล้วแต่ อย่างไรก็ตาม มุกแบบนั้นก็ช่วยทำลายกำแพงบางอย่างได้แล้ว...และนั่นคือบางสิ่งเล็กๆที่ทำให้คุณแตกต่างจากผู้ชายอื่นๆที่อาจจะทำตัวเป็นไนซ์กาย เป็นสุภาพบุรุษจนไม่กล้าเปิดประเด็นคำพูดตลกๆแบบนั้น
เรื่องแบบนี้อาจดูเป็นเรื่องฝืดๆสำหรับผู้ชาย แต่ในสายตาผู้หญิงแล้ว มันเป็นการ “เริ่มต้น” ของการสร้างความสนใจในตัวเธอ และหากชายคนนั้นยิงมุขขำๆเป็นระยะๆ ตามจังหวะที่เหมาะสม เธอจะเริ่มเปิดใจมากยิ่งขึ้นเรื่อยๆ กระทั่งกลายเป็นการเกิดแรงดึงดูดใจพิเศษที่ทำให้เธอเริ่มเปิดประตูที่ไม่เคยเปิดให้ใครเคยเข้ามาก่อนให้กับชายคนนั้น
ซึ่งเรื่องแบบนั้นไม่เคยเกิดกับผู้ชายแวดล้อมเธอที่ทำตัวเป็นไนซ์กาย ไม่กล้าพูด ไม่กล้าสร้างอารมณ์ขันหรือล้อเล่นกับเธอเลย
ผู้หญิงมองผู้ชายที่มีอารมณ์ขันว่าเป็นคนน่าสนใจ และมองว่าการที่ใครสักคนโดยเฉพาะผู้ชายจะมีอารมณ์ขันได้นั้นเขาจะต้องสามารถกำจัดปัญหาบางอย่างหรือควบคุมปัญหาบางอย่างได้แล้วจึงมีความสบายใจมากพอที่จะผ่อนคลาย ด้วยการมีอารมณ์ดี ตามต่อมาด้วยอารมณ์ขัน
บางทีการที่เรามองว่าใครสักคนเป็นคนมีอารมณ์ขันในมุมมองที่มองแค่เรื่องตลกๆนั้นอาจจะเป็นการมองที่แคบเกินไป ถ้าสงสัยเรื่องนี้คงต้องยกตัวอย่างคำกลอนบทหนึ่งที่ว่า
เป็นการง่าย...ยิ้มได้...ไม่ต้องฝืน
เมื่อชีพชื่น...เหมือนบรรเลง...เพลงสวรรค์
แต่ที่คน...ชื่นชม...นิยมกัน
คือใจมั่น...ยิ้มได้...เมื่อภัยมา
ฟังคำกลอนโบราณข้างต้นแล้วคงได้คิดว่า เรื่องพวกนี้ คนไทยโบราณมองละเอียดนัก มองว่าคนที่คุมอารมณ์และเป็นผู้นำได้นั้นจะต้องยิ้มได้ตามธรรมชาติ(จากใจจริง)ในทุกสภาวะ โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อมีความกดดันต่างๆ และสิ่งนั้นเมื่อนำมาปรับใช้กับการมองคนของผู้หญิงอย่างใช้สมองจริงๆจังๆนั้นจะทำให้เห็นได้ว่า มุมมองของผู้หญิงที่ฝากความมั่นใจเอาไว้กับผู้ชายที่ยิ้มได้เมื่อภัยมา หรือมีอารมณ์ขัน หรืออารมณ์ดีอย่างถูกที่ถูกทางนั้นช่างสอดคล้องกับชีวิตที่มีความสุขในใจของพวกเธอเป็นอย่างยิ่ง
ไม่แปลกที่เธอมองผู้ชายที่มีอารมณ์ขันมากกว่านั้นอีก คือมองว่าเป็นคนที่มีอารมณ์มั่นคง และนี่คือหนึ่งในหลายๆปัจจัยที่เกิดเป็นแรงดึงดูดใจในฟากของผู้หญิง
อย่างไรก็ตาม อารมณ์ขันอย่างเดียวเป็นองค์ประกอบหนึ่งเท่านั้น ยังมีองค์ประกอบอื่นๆอีกเช่น ความเป็นชายชาตรี ความสามารถในการหาเลี้ยงชีพ และอื่นๆ แต่ ความแข็งแรงทางอารมณ์นั้นเป็นสิ่งที่ผู้หญิงชื่นชมเพราะทำให้ชีวิตของเธอมีความสุขได้ตลอดเวลา
มาถึงตอนนี้แล้ว...คงเห็นภาพของการทุ่มเทวัตถุมากมายให้ผู้หญิงเรือนแสนเรือนล้าน ก็ไม่อาจเทียบได้กับความสุขทางอารมณ์ที่เธอได้จากชายที่มีความมั่นคงและเป็นผู้นำให้กับเธอได้.... จริงอยู่เงินทองนั้นมีความสำคัญ แต่ถ้าจะใช้เงินทองซื้อความรักนั้นเป็นสิ่งที่เป็นไปไม่ได้สำหรับผู้หญิง
แน่นอนว่าเธออาจเป็นนกน้อยในกรงทองของใครบางคนได้...แต่หัวใจของเธออาจให้กับใครบางคนที่รู้ใจเธอจริงๆเท่านั้น และคนๆนั้นคือคนที่เธอเกิดแรงดึงดูดใจอย่างรุนแรงกับเขา กระทั่งก้าวไปสู่จุดที่ล้ำลึกกว่านั้นได้เป็นไหนๆ
Pete@Copyright