... อย่าโยนเรื่องนี้ให้เป็นหน้าที่ของพรหมลิขิต (พระพรหมไม่มีส่วนเกี่ยวข้องในความเป็นจริง) เราเอาต่างหากที่เป็นผู้เลือก
... การเลือก ก็ต้องเลือกเยอะๆ มีมาตรการดีๆ ทีเวลาซื้อกระทะ – เครื่องทำน้ำอุ่น – เลือกโรงเรียน และเลือกอะไรตั้งหลายอย่างเรายังเปรียบเทียบสารพัดแบบ แต่คนที่จะเอามาเป็นแฟนดันโยนให้พรหมลิขิตแล้วก็ไม่ค่อยเลือกด้วยซ้ำ มาอย่างไรก็ไปอย่างนั้นเลย (รีบร้อนไปหรือเปล่า)
... แนะนำเลือกคนที่ “นิสัย” เพราะนิสัยเป็นสิ่งที่ต้องใช้เวลานานในการทำให้มีสิ่งนั้นติดตัวได้ คนเรามีทั้งนิสัยดีและนิสัยแย่ เวลาเลือกก็เลือกที่นิสัยดี หรือถ้ามีคละเคล้ากันก็ให้เลือกแบบที่ “มีนิสัยดีมากกว่านิสัยแย่” และนิสัยดีทีว่านั้นต้องเป็นนิสัยดีตามสเป๊กของเราด้วย ถ้าดีแต่ไม่ใช่สเป๊กก็ต้องเมิน
... ดูด้วยว่านิสัยทีว่าดีนั้นเป็นแบบถาวรหรือแบบฉาบฉวย หลายคนสร้างภาพนิสัยดีเพื่อลวงตา การจะตรวจสอบว่าเขาหรือหล่อนนิสัยดีมานานแล้วก็ต้องสืบประวัติกันบ้าง วิธีการไม่ยาก เพราะเขาต้องมีผลงานที่มาจากการทำนิสัยดีในอดีตโผล่มาให้เห็นบ้าง (คงไม่ต้องถึงกับมีใบเซอร์ติฟิเกตรองรับ แต่น่าจะมีเหตุการณ์บางอย่างที่บอกให้รู้ได้)
... ถ้าเขามีความเป็นจิตอาสาสูง อันนี้ถือว่ามีส่วนดีค่อนข้างเยอะ (ไม่ต้องไปถามเขาตรงๆ ใช้วิธีหลอกๆถามจะดีกว่า) หรือไม่ก็เป็นคนที่ช่วยเหลือสังคม ผู้ร่วมงาน บ้างหรือไม่ ถ้าไม่มีเลยแสดงว่าจิตใจเขา “ไม่เคยให้”ใครเลย ถ้าเพราะการช่วยเหลือใครโดยไม่หวังผลตอบแทนนั้นชี้ให้เห็นว่าเขาเป็น “ผู้ให้” โดยเนื้อแท้ของจิตใจ ถ้าไม่มีตรงนี้ก็ลองมองๆว่าเขาเป็นคนกตัญญูช่วยเหลือใครบ้างหรือเปล่า ถ้าไม่มีจริงๆ ก็แนะนำว่าอยู่ห่างๆเถอะ เพราะเขาไม่เคยให้ใครเลย จิตใจเขาน่าจะคับแคบนะ
... เขารับปากหรือให้สัญญาพร่ำเพรื่อหรือไม่ ถ้าให้สัญญาให้ความหวังพร่ำเพรื่อหรือให้ง่ายๆโดยไม่รักษาสัญญา...อันนี้ถอยเถอะ เขาไม่ใช่คนดีนักเพราะเข้าข่ายไม่ค่อยระวังคำพูดแล้ว คบกันไปอาจมีปัญหา
... จนรวยไม่สำคัญ เขาคนนั้นมีเป้าหมายหรือความหวังอะไรหรือไม่ ถ้าไม่มีก็ถอยเถอะ อย่างน้อยคนเราโดยเฉพาะผู้ชายต้องมีเป้าหมายชัดๆบางเรื่อง และต้องหาทางไปถึงเป้าหมายนั้นให้ได้ ถ้าเป้นเรื่องของการสร้างเนื้อสร้างตัวยิ่งดีมาก เพราะเขาจะทำให้ชีวิตเราสบายขึ้น ...หากเป็นเป้าหมายเรื่องความรักก็ต้องชัดเจน จะไปมาหาสู่ก็มีความชัดเจนไม่ใช่นัดไปที่เปลี่ยวๆแล้วจะพาเข้าโรงแรมกันอย่างเดียว แบบนั้นไม่ต้องมานักสาวๆที่นี่หรอก ไปจ่ายเงินซื้อกินเอาเถอะ
... หล่อไม่หล่อหรือสวยไม่สวยไม่สำคัญ เรื่องเด็ดมันอยู่ที่ว่ามีสติปัญญากันบ้างหรือเปล่า...ถ้าเราไม่ฉลาดนักเราก็ต้องพึ่งพาคนฉลาดมาเป็นคู่ชีวิต ถ้าเลือกแบบไม่ฉลาดแล้วจะเอามาทำไม คำว่าฉลาดในที่นี่ไม่ได้หมายถึงเรียนสูง หรือจบต่างประเทศ แต่หมายถึง “ความฉลาดในชีวิตจริงที่ต่างจากในสถาบัน” เรื่องพวกนี้สถาบันให้อะไรไม่ได้ โลกนี้มีคนเก่งคนดีจำนวนมากที่ฉลาดเพราะได้จากการใฝ่รู้ในชีวิตจริงๆเป็นจำนวนมาก คนฉลาดแบบนี้ประสบความสำเร็จในชีวิตหลายด้าน ถ้าจะเลือกก็ขอให้เลือกแบบนี้แหละ การคุยกันสักระยะก็พอรู้แล้วว่าคนที่เราคุยด้วยมี “กึ๋น” หรือมีสติปัญญาพอจะนำชีวิตเราได้หรือไม่
จำไว้ว่าคนฉลาดไม่ใช่คนที่พูดเก่ง พูดน้ำไหลไฟดังหรือโชว์ข้อมูลต่างๆแคล่วคล่อง คนฉลาดและเก่งคือคนที่ “มีผลงาน” ในชีวิต ส่วนจะเป็นอะไรบ้างนั้นไปหากันเอาเอง หากทำได้แบบนี้ก็จะตัดคนที่เอาแต่พูดหรือคุยโม้(มีแต่น้ำลายกับความหวังลมๆแล้งๆ)ไปได้มหาศาล
วิธีดัดหลังคนขี้โม้ก็คือ...แกล้งสมมติปัญหาบางอย่างขึ้นแล้วดูซิว่าเขาจะแก้ปัญหาได้หรือไม่ คนขี้โม้ส่วนใหญ่เอาแต่วิจารณ์สารพัดแต่ไม่บอกทางแก้ปัญหา(เพราะเอาแต่โม้แต่ไม่เคยแก้ปัญหาได้) หรือถ้าโดนถามว่าจะให้คำแนะนำอย่างไรส่วนใหญ่คนขี้โม้ขี้คุยจะบอกไม่ได้สักอย่าง คนขี้โม้ได้แต่วิจารณ์คนอื่นแต่ตัวเองแก้ปัญหาไม่ได้(ถนัดแต่ว่าคนอื่นๆ ตัวเองก็แก้ปัญหาหรือเสนอทางออกไม่ได้เหมือนกัน)
...ใจแข็งเข้าไว้...ถ้าคุณเป็นคนฉลาดคุณก็ต้องได้แฟนที่สติปัญญาพอๆกัน หรือถ้าคุณไม่ค่อยฉลาดก็ต้องเลือกแฟนฉลาดแต่นิสัยดีเช่นกัน เพราะถ้าไม่ฉลาดอยุ่กับไม่ฉลาดชีวิตจะไม่ค่อยมีความสุข แต่ที่สำคัญกว่านั้นก็คือ “ต้องเป็นคนดี” จำไว้ว่า นิสัยดีไม่ได้สร้างกันแค่ชั่วข้ามคืน แต่เป็นนิสัยที่ต้องสร้างต้องใช้เวลา ดังนั้น ถ้ารู้แบ็คกราวน์ย้อนไปในวัยเด็กของเขาได้ก็จะยิ่งดีมาก (การอบรมสั่งสอนมีส่วนมาก) หรือถ้าขาดช่วงนั้นไปก็ลองถามถึงตอนวัยรุ่นวัยทำงานว่าเขามีแนวคิดอย่างไร สร้างเนื้อสร้างตัวแบบใด (อย่าไปถามเป็นทางการมากนัก เดี๋ยวไก่ตื่น) แล้วก็ประเมินอย่างเป็นจริงที่สุด อย่าเข้าข้างตัวเองหรือเขา ต้องทำใจเป็นกลาง
... ลงท้าย ถ้าไม่ได้อย่างที่ต้องการ ก็ไม่ต้องไปรีบร้อน คนเราควรพึ่งพาตัวเองมากที่สุด เพราะท้ายที่สุดแล้วถึงได้คนมาเป็นเนื้อคู่ ... ธรรมชาติก็จะพรากชีวิตเขาไปจากเราอยู่ดี มันเป็นสัจธรรมอยู่แล้ว เมื่อเขาจากไปเราก็ต้องอยู่คนเดียวอีกครั้ง....จริงๆแล้วมนุษย์ถูกออกแบบมาให้อยู่คนเดียวให้ได้โดยธรรมชาติ... ดังนั้นการไร้คู่สักพัก หรือมีคู่แล้วคู่ตายจากไป ก็เป็นสิ่งที่ธรรมชาติสอนให้เราอยู่ให้ได้ตามลำพังจริงๆ อย่าไปคิดมาก