เรื่องเล่าก่อนเข้านอนมาแล้ว ยาวนิด แต่เป็นเรื่องที่ดีค่ะ
เรื่อง_ความช่วยเหลือของงูและปลา
...ณ หมู่บ้านแห่งหนึ่ง มีเศรษฐีผู้หนึ่งชื่อว่าเศรษฐีคม เศรษฐีผู้นี้เป็นผู้มีจิตเมตตาและยึดถือหลักอหิงสาเป็นที่มั่น ด้วยคุณธรรมเช่นนี้ทำให้เศรษฐีคมเป็นที่รักของชาวบ้านในหมู่บ้านแห่งนี้มาก
...วันหนึ่งเศรษฐีคมพาภรรยาและลูกน้อยวัยเตาะแตะไปเดินเล่นในสวนดอกไม้ข้างคฤหาสน์ ซึ่งอยู่ติดกับชายป่า ขณะที่สามพ่อแม่ลูกกำลังสำราญใจอยู่นั้น จู่ๆ ก็มีงูเห่าตัวหนึ่งเลื้อยผ่านมายังใต้ต้นไม้ใหญ่ที่คนทั้งสามกำลังนั่งพักชมธรรมชาติอยู่ ภรรยาเศรษฐีคมกรีดร้องอย่างตกใจ และอุ้มลูกขึ้นจากพื้นดินทันที ฝ่ายงูเห่าเองก็ตกใจมาก มันรีบชูคอแผ่แม่เบี้ยทันทีเช่นกัน
“พี่จ๊ะ ฆ่ามันเสียเถิดพี่ งูเห่าตัวนี้อันตรายต่อลูกของเราจริงๆ”
...แต่เศรษฐีคมกลับตอบกลับมาอย่างนิ่งสงบ ว่า “พี่จะไม่ฆ่าเขาหรอก เพราะเขายังไม่ได้ทำอะไรพวกเราสักหน่อย มนุษย์มีความหวาดกลัวและคิดทำร้ายงูเห่าทันทีเมื่อได้พบเห็น ทั้งๆ ที่งูเห่าชนิดที่น่ากลัวที่สุดนั้นอยู่ในจิตใจของมนุษย์ แต่พวกเขากลับไม่เคยรู้ตัว และไม่คิดจะกำจัดงูเห่าในจิตใจเหล่านั้นออกไปเลย”
แล้วเศรษฐีคมก็หันไปมองงูเห่าและพูดกับงูเห่าตัวนั้นว่า
“เจ้าอยู่ในป่าก็ดีและปลอดภัยอยู่แล้ว อย่าเข้ามารบกวนพวกเราและเสี่ยงให้เกิดอันตรายแก่ตัวเจ้าเองเลย เราไม่ทำร้ายเจ้า เจ้าก็ไม่ทำร้ายเรา เราต่างก็ไปอยู่ในที่ซึ่งเหมาะกับพวกเราดีกว่านะ”
...เมื่อเศรษฐีคมพูดจบ งูเห่าตัวนั้นก็ค่อยๆ ก้มหัวลง และเลื้อยกลับเข้าไปในป่าโดยไม่ได้ทำร้ายเศรษฐีคมและครอบครัวของเขาแม้แต่น้อย
...หลังจากนั้นเจ็ดวัน เป็นวันเกิดของเศรษฐีคม บรรดาบ่าวไพร่ในบ้านได้ร่วมแรงร่วมใจกันจับปลาในคลองใหญ่หลังคฤหาสน์เพื่อทำเป็นกับข้าวเลิศรสให้ท่านเศรษฐีได้รับประทาน แต่บังเอิญเศรษฐีคมเดินผ่านบริเวณนั้นพอดี เมื่อเห็นปลาที่จับได้แออัดอยู่ในตุ่มใบเล็กๆ เศรษฐีคมจึงถามบ่าวไพร่ ว่า “พวกเขาจับปลามากมายนี้ไปทำอะไรกัน”
...บ่าวสาวคนหนึ่ง ตอบว่า “เราอยากให้นายท่านได้รับประทานอาหารรสเลิศที่ปรุงจากปลาพวกนี้ จึงชวนกันมาจับปลาตัวใหญ่ๆ รสชาติดี ไปทำอาหารให้นายท่านเจ้าค่ะ”
...เศรษฐีคมนิ่งอึ้งไปชั่วขณะ เขามองบรรดาปลาที่นอนอัดอยู่ในตุ่มใบเล็กอย่างสังเวชใจ
“ไปเรียกบ่าวทุกคนที่จับปลามาหาข้าซิ” เศรษฐีคมสั่งบ่าวคนหนึ่ง
...เมื่อบ่าวไพร่ที่กำลังจับปลาทุกคนมารวมตัวกันหน้าเขาแล้ว เศรษฐีคม ก็กล่าวขึ้นว่า “ข้ารู้สึกซาบซึ้งใจมากที่พวกเจ้าทุกคนลงแรงเพื่อข้าขนาดนี้ แต่เมื่อเห็นสภาพปลาเหล่านั้น ข้ารู้สึกสงสารจับใจจนกินไม่ลง อย่างไรก็ตาม พวกเจ้าก็อุตส่าห์ลงแรงมากมาย เพื่อไม่ให้เป็นการเสียน้ำใจ ข้าก็จะขอซื้อปลาทั้งหมดนี้ไว้ และขอให้พวกเจ้านำปลากลับไปปล่อยในคลองดังเดิม”
“ถ้าอย่างนั้นนายท่านก็ไม่ได้กินอาหารรสเลิศในวันเกิดสิขอรับ” บ่าวคนหนึ่งร้องขึ้นอย่างเสียดาย
“การทำบุญช่วยชีวิตผู้อื่นเป็นของขวัญล้ำค่าที่สุดแล้ว หากเราไม่เบียดเบียนชีวิตปลาพวกนี้ ก็เท่ากับพวกเจ้าได้มอบของขวัญล้ำค่าที่สุดแก่ข้าแล้ว”
...เมื่อได้ยินนายของตนเอ่ยขึ้นมาเช่นนั้น บรรดาบ่าวไพร่ก็ยอมทำตามที่เศรษฐีคมต้องการโดยไม่มีข้อสงสัยอะไรอีก
...แล้วชีวิตของเศรษฐีคมก็มีความสุขเรื่อยมาจนกระทั่งคืนหนึ่ง ที่วัดประจำหมู่บ้านมีการจัดงานเลี้ยงอย่างยิ่งใหญ่ เศรษฐีคมจึงพาภรรยาและลูกพร้อมด้วยบ่าวไพร่ไปเที่ยวชมงานวัดด้วยกัน ด้วยความที่ภรรยาใจร้อน อยากให้ถึงวัดแห่งนั้นเร็วๆ เศรษฐีคมจึงพาทุกคนเดินไปทางลัด ซึ่งต้องผ่านป่าทึบโดยหารู้ไม่ว่ามีกลุ่มโจรใจทมิฬมารอดักปล้นฆ่าเอาทรัพย์สินของชาวบ้านแฝงตัวอยู่ในบริเวณนั้นด้วย
...เมื่อเดินเข้าเขตป่ามาได้ครึ่งทาง พวกโจรใจร้ายก็แสดงตัวและปล้นเอาทรัพย์สินของเศรษฐีคมและภรรยา รวมถึงเงินทองเล็กน้อยของบ่าวไพร่ไปจนหมด นอกจากนั้น หัวหน้าโจรยังประกาศอย่างแข็งกร้าวว่า
“ตามกฎของข้า ใครก็ตามที่เห็นโฉมหน้าของข้าซึ่งเป็นหัวหน้าโจร มันผู้นั้นจะต้องถูกฆ่าทิ้งไม่ให้รอดกลับไปแจ้งข่าวกับทางการได้ ฆ่ามันให้หมด”
...หัวหน้าโจรหันไปสั่งลูกน้อง แต่ยังไม่ทันที่พวกมันจะได้ทำร้ายใคร ลูกสมุนคนหนึ่งก็ร้องขึ้นว่า
“โอ๊ะ หัวหน้า ข้าถูกอะไรก็ไม่รู้กัดที่ขา” อีกคนร้องตามมาติดๆ “ข้าด้วย อะไรก็ไม่รู้กัดที่เท้าข้า มืดๆ อย่างนี้ข้ามองไม่เห็นเลย”
“อ๊ะ ข้าเห็นแล้ว งูเห่า ตายล่ะ หัวหน้า พวกมันมาเป็นกองทัพเลยนี่” ไม่ทันขาดคำ เขาก็ถูกงูเห่ากัดไปอีกราย
...เมื่อได้ยินลูกน้องพูดเช่นนั้น และเริ่มสัมผัสได้ถึงเมือกลื่นมากมายที่เคลื่อนเสียดสีขาท่ามกลางความมืด หัวหน้าโจรและสมุนที่เหลือก็กระโดดโหยงด้วยความตกใจ พวกมันวิ่งแน่บฝ่าความมืดออกจากป่าไปโดยมีเหล่างูเห่าเลื้อยตามอย่างไม่ลดละ จนเมื่อวิ่งมาถึงลำคลอง พวกโจรคิดว่ารอดแน่แล้ว จึงรีบกระโดดลงไปทันที
...เหล่างูเห่าตามมาจนถึงริมคลอง ก็หยุดและเลื้อยกลับเข้าป่าไป พวกโจรดีใจมาก แต่แล้วจู่ๆ น้ำในคลองก็เกิดแรงกระเพื่อมผิดปกติ และเมื่อพวกโจรเพ่งพินิศดูสิ่งที่เกิดขึ้นในลำคลองอย่างตั้งใจ ทั้งหมดก็ตกใจแทบสิ้นสติ
...ฝูงปลานับร้อยนับพันมาจากทุกทิศทางตรงเข้าล้อมพวกโจรไว้หมด พร้อมกับพุ่งเข้าโจมตีพวกโจรอย่างรุนแรง แม้ปลาจะไม่มีเขี้ยว ไม่มีพิษเหมือนงูเห่า แต่เมื่อปลาทุกตัวรวมใจกันจู่โจมก็รุนแรงพอจะสร้างความเจ็บปวดให้แก่พวกโจรได้
...ตอนนั้นเอง เศรษฐีคมและชาวบ้านที่รู้ข่าวต่างก็ตามมาเพื่อจะช่วยกันจับโจรส่งให้ทางการ พวกปลากระจายตัวออกทันทีที่ชาวบ้านมาถึง และชาวบ้านก็จับโจรได้อย่างง่ายดาย เพราะพวกนั้นเจ็บปวดไปทั้งตัวและไม่เหลือเรี่ยวแรงใดๆ ไว้ต่อสู้ขัดขืนอีกต่อไปแล้ว ไม่มีใครรู้เลยว่า ทั้งหมดนี้เป็นความช่วยเหลือจากงูและปลา นอกจากเศรษฐีคมแต่เพียงผู้เดียว
***บทสรุปของผู้แต่ง***
...โลกของเราคือเงาสะท้อนตัวเราเอง ไม่ว่าเราจะเห็นอะไรหรือคิดอะไร ทุกสิ่งทุกอย่างก็จะสะท้อนมายังเราทั้งสิ้น ดังนั้นเราจึงควรกระทำแต่ความดี มองเห็นแต่สิ่งดีๆ ทำดี คิดดี พูดดี และมีจิตวิญญาณที่ดี มีความเมตตาให้แก่ผู้อื่นอยู่เสมอ เพราะเมื่อเรามีแต่สิ่งดีๆ เราก็ย่อมอยากจะกระทำดีต่อผู้อื่นด้วย และสิ่งนั้นจะสะท้อนกลับมาสู่เรา ดังนั้น เมื่อเราเป็นผู้ให้ก็มีโอกาสที่เราจะเป็นผู้รับด้วย
....เปรียบดั่งกระจกเงา หากเรายืนมองตัวเอง ตัวเราเองจะมองเราตอบมา หากเราแลบลิ้น กระจกก็จะแลบลิ้น หากเรานิ่วหน้า กระจกก็นิ่วหน้า และเมื่อเรายิ้ม กระจกก็จะยิ้มให้เราด้วย
...นี่คือสิ่งที่เธอควรจดจำ และระลึกอยู่ในใจเสมอในยามที่คิดจะทำสิ่งใดกับใครก็ตาม...
Cr...นิทานสีขาว ดร.อาจอง ชุมสาย
ความสุขอยู่ที่เรา ยิ้มให้ตัวเอง
และยิ้มให้กับคนรอบๆ คนรอบๆเขาก็จะยิ้มให้เรา
(ปล.เขาคิดว่ายัยมนุษย์ป้านี่คงไม่สมประกอบ ^-^)