Login
-
 view (263 )     comment (2 )     last update : 16/1/2561 19:12:59
Yok
บุพเพสันนิวาส

ใครอยากรู้เรื่อง เนื้อคู่ ตุหนาหงัน ลองมาอ่านไว้ก็ดีนะ

ล่วงมา 16 วันแล้วหลังปีใหม่ 2561 เป็นปีเริ่มต้นของสิ่งดี ๆ ของหลายคน เหลือวันเวลาอีก 29 วัน ก็จะถึงวันแห่งความรัก 14 กุมภาพันธ์ วันวาเลนไทน์แล้วนะ เตรียมตัว เตรียมใจพร้อมรับกับการเปลี่ยนแปลงกันบ้างหรือยัง วันแห่งความรักจะเป็นวัน “ฤกษ์ดี” ของใครหลายคน และหลายฝ่ายที่พร้อมจะสมานฉันท์อย่างเต็มใจ

เริ่มต้นด้วยความรักแบบหนัก ๆ เพื่อจะเข้าสู่เรื่องราวเบา ๆ ที่ว่าด้วยความรักแบบจริงๆ

คนเราคงไม่ได้รักกันเฉพาะวันแห่งความรักที่เรียกกันสวยหรูว่า “วันวาเลนไทน์” เท่านั้น ความรักเกิดได้ตลอดเวลา ทุกคน ทุกเพศ ทุกวัย ที่มีให้กัน ดีต่อกัน คงไม่ใช่คู่รัก แฟนกันเท่านั้น อาจจะเป็นใครก็ได้สักคู่ที่มีความรักต่อกัน เช่น พ่อแม่ พี่น้อง เพื่อนต่อเพื่อน หรือแม้แต่เจ้านายกับลูกน้อง ผู้ใหญ่บ้านกับลูกบ้าน ฯลฯ

แต่ในเรื่องของ “ธรรมชาติ” มองสิ่งมีชีวิตไม่ว่าจะเป็นสัตว์ พืชก็ตาม การจรรโลงอยู่ของสายพันธุ์ที่ยังคงต้องดำรงอยู่ในโลกหรือวัฎจักรชีวิต คือการสืบพันธุ์ แต่ก็จะมีการสืบพันธุ์ได้นั้น จะต้องเกิดจากเพศผู้กับเพศเมียมาผสมพันธุ์กัน ซึ่งก็อนุมานแปลได้ว่า จะต้อง “มีคู่” ที่เกิดจากทั้งสองฝ่ายตกลงปลงใจกันว่าจะอยู่เป็นคู่ครองกันเพื่อสืบพันธุ์กันต่อไป หลังจากทั้งคู่มีจิตปฏิสัมพันธ์ต่อกัน

พูดภาษาชาวบ้าน ๆ ว่า “รักกัน” แต่ภาษาที่คู่ชายหญิงไม่ว่าชนชาติใดก็ตามมามีความสัมพันธ์กัน จะด้วยตั้งใจหรือบังเอิญ คงจะเป็นคนละซีกโลก คนละประเทศ คนละทิศแม้อยู่ในประเทศเดียวกัน หรือบ้านเรือนเคียงกัน หากพบกัน แรกพบสบตากันก็เกิดจิตปฏิพัทธ์ต่อกันเหมือนภาษารักว่า “ศรปักอกเมื่อแรกพบ” ดูตาก็รู้ใจกัน พูดอะไรก็รู้เรื่อง ใจพันผูกมีไมตรีต่อกัน เกิดความรักที่ดีต่อกัน เป็นคู่กัน

ว่าด้วยเรื่อง “การมีคู่” คงต้องบอกว่าไม่ใช่เรื่องเล็ก และก็ไม่ใช่เรื่องใหญ่โตมากมาย แต่ก็มีความสัมพันธ์กันมากที่สุดอีกเรื่องหนึ่งของ “ชีวิต” เพราะการที่เรามีคู่ครองที่ดีก็จะมีแต่ความสุขความเจริญ เป็นแรงใจสำคัญที่จะ “ร่วมอนาคต” ร่วมสร้างกรรมดีเป็นบุญกุศลร่วมกันต่อไปในภายหน้า เหมือนซื้อล็อตเตอรี่ถูกรางวัลที่หนึ่ง ในทางตรงกันข้ามหากได้คู่ครองไม่ดี...ชีวิตก็คงเต็มไปด้วยความทุกข์ทรมานมากกว่าสุข พระท่านว่า ตกนรกทั้งเป็น หรือซื้อล็อตเตอรี่ไม่ถูกแม้แต่รางวัลเลขท้ายสองตัว แต่ยังถูกกินรวบอีกต่างหากที่มันจะกลายเป็น “เชื้อ” ที่เป็นจุดเริ่มต้นทำลายอนาคต ปิดฉากการทำงาน หรือแม้แต่ทำลายชีวิตซึ่งกันและกัน ซึ่งมีให้เห็นมากมายตามหน้าหนังสือพิมพ์ ตามวิทยุ ทีวี ตามที่เป็นข่าวใหญ่โตแฉกันไปมานั่นเพราะขาดความเข้าใจกันและกันในเรื่องนี้

เกิดมาครั้งหนึ่ง เรื่องชีวิตคู่จึงต้องดู ต้องเลือกกันให้ดีที่สุด เท่าที่จะทำได้ เพราะนั่นคือ ต้องอยู่ร่วมหอลงโลงกันตลอดชีวิตและตลอดไป การพบรักของคนสองคนที่มาตกลงปลงใจเป็น “คู่รัก” หรือแค่เป็นแฟนกันในห้วงเวลาหนึ่งไม่ใช่เป็นเรื่องบังเอิญอะไรทั้งสิ้น ทุกอย่างในโลกนี้มีที่มาและที่ไป มีเหตุและมีผลเสมอ การพบกันนั้นมาจาก “กรรมลิขิต” หรือ “กรรมจัดสรร” ให้เกิดขึ้นทั้งสิ้น และไม่เพียงการมาพบกัน แต่เป็นทุกเรื่องในชีวิตเลยทีเดียว ที่ “กรรม” เป็นผู้ลิขิต

หากย้อนอดีตไปก่อนพุทธกาล หรือนานกว่า 2500 กว่าปี แล้วที่ “พระพุทธองค์” ได้ทรงตรัสให้ทุกคนได้ “ตื่นรู้” ได้ตระหนักในความจริงแท้ที่ว่า ชีวิตของเหล่าสรรพสัตว์จะเป็นเช่นไรขึ้นอยู่กับการกระทำของตัวเอง ไม่มีผู้ใดหรืออำนาจอื่นใดมาควบคุมกำหนดเบี่ยงเบนชีวิตของเราได้ ก่อนที่พระพุทธเจ้าจะตรัสรู้และเผยแพร่ความจริงที่ยิ่งใหญ่ มีคนมากมายที่เชื่อกันผิด ๆ ถึงขนาดเชื่อว่า เมื่อเกิดมาแล้วใครก็เปลี่ยนแปลงอะไรในชีวิตใครไม่ได้ทั้งสิ้น...

เพราะโดยเทพผู้มีอำนาจลิขิตมาแล้ว เกิดมาอย่างไรก็ไปอย่างนั้น ไม่มีสิทธิพัฒนาให้เจริญรุ่งเรือง หรือตกต่ำลง เชื่อว่าทั้งกด ทั้งครอบตั้งแต่เกิดจนตายไป

“พระพุทธเจ้า” ประสูติในพระราชวงศ์อยู่ในวรรณะกษัตริย์ด้วย พระองค์น่าจะสะดวกสบายมากท่ามกลางความเพียบพร้อมทั้งปวง ไม่ต้องมาระหกระเหินเดินดงเดินป่ามาตรัสรู้ ไม่ต้องเหนื่อยพระวรกาย แต่พระพุทธเจ้าท่านสงสัยว่า “ชะตาชีวิต” ของเหล่าสรรพสัตว์เป็นอย่างนี้ เขาเชื่อกันจริงหรือ??

พระพุทธองค์ทรงมาพิสูจน์ตรัสรู้ตนเอง ด้วยความพากเพียรยิ่งใหญ่ ด้วยพระมหาบุญบารมีที่สะสมมาหลายภพชาติ พระพุทธองค์ก็ทรงค้นพบความจริงที่ยิ่งใหญ่ของธรรมชาติ ท่านทรงเมตตาสรรพสัตว์ให้รู้ถึงความจริงแท้นั้น พระองค์เป็นผู้ปลดแอกความเชื่อเหล่านั้นให้ทุกคนรู้ว่า คนเราทุกคนนั้นสามารถพัฒนา เปลี่ยนชีวิต เปลี่ยนกรรม เปลี่ยนชะตาชีวิตตัวเองได้ด้วยการกระทำของตนเอง ไม่มีใครมีอำนาจมาลิขิตชีวิตได้นอกจากตัวเองเท่านั้น ใครทำดีต้องได้ดี ใครทำชั่วต้องได้ชั่วไป ไม่มีเทพ ไม่มีอำนาจ ดวงคน ไม่มีอะไรทั้งสิ้นมาเบี่ยงเบนตัวตนของเราได้เลย นอกจากกรรม หรือ การกระทำของตนเองเท่านั้นจะเป็นผู้กำหนดชีวิตคนคนนั้นอย่างแท้จริง ไม่มีเรื่องอะไรเป็นเหตุบังเอิญ ใครสร้างเหตุใดก็ต้องได้รับผลนั้น ต้องมีเหตุกับปัจจัยทำให้เกิดขึ้น

พระพุทธเจ้าไม่ได้เป็นผู้ตั้ง หรือสร้างขึ้น พระพุทธองค์เป็นเพียงแต่นำกฎธรรมชาติเหล่านี้มาสอนมาแสดง ดัง ที่มีคำกล่าวว่า “...ดั่งใบไม้ในกำมือ” มาสั่งสอนให้รู้เท่านั้น ศาสนาพุทธเปิดหนทาง ใครจะเชื่อก็ได้ ไม่เชื่อก็ได้ ไม่มีใครบังคับขู่เข็ญ ยังแนะว่าต้องมี “สติ” ใช้ปัญญาไตร่ตรองก่อนค่อยเชื่อ อย่าเชื่อเพราะคนอื่นเชื่อ ดัง ที่พระองค์ตรัสไว้ใน “กาลามสูตร” กล่าวคือ

“คนสองคน” ที่พบกันได้นั้น เพราะเป็น “บุพเพสันนิวาส” ไม่ใช่ “พรหมลิขิต”...ดวงจิตสองดวงที่เคยผูกพันกันมาแล้วมาพบกัน ไม่ใช่เรื่องบังเอิญอย่างแน่นอน เป็นจุดเริ่มต้นที่จะพัฒนามาเป็น “ความรัก” จนเป็น “เนื้อคู่” และได้มาเป็น “คู่ครอง” กัน ไม่ว่าจะเป็นคู่แบบไหน คู่บุญ คู่กรรม คู่วิวาท หรือประเภทอื่นใดก็ต้องเริ่มจากความรักและ “บุพเพสันนิวาส” ซึ่งเกิดขึ้นได้ด้วยเหตุ 2 ประการ คือ
 1. ด้วยเคยอยู่ร่วมกันมาแต่ปางก่อน
2. ด้วยช่วยเหลือเกื้อกูลกันในปัจจุบัน

หลายท่านอาจสงสัยและอยากรู้ว่าทำไมพระพุทธเจ้าจึงทรงตรัสไว้ว่า ...ความรักเกิดขึ้นมานั้น จะต้องมีการอยู่ร่วมกันมาแต่ปางก่อน และทำไมต้องเกื้อกูลช่วยเหลือกันมาด้วยในภพปัจจุบัน...

มาลองคิดตามดูว่า เป็นไปได้ไหมว่าสิ่งมีชีวิต 2 สิ่งนั้นจะมามีความสัมพันธ์กันได้อย่างไร ถ้าสองสิ่งนั้นไม่มีความเกี่ยวข้องกัน ไม่เคยรู้จักกัน หรือช่วยเหลือเกื้อกูลดูแลกันมาก่อน ดั่งดอกบัวเกิดขึ้นมาจากน้ำและโคลนตม ดั่งกองไฟที่เผาไหม้ลุกโชนนั้นต้องมีฟืนต้องมีเชื้อปะทุไฟ ถึงจะติดลุกพรึบมาได้ รถวิ่งไปวิ่งมาได้มันต้องมีเชื้อเพลิง ร่างกายเคลื่อนไหวได้ต้องมีพลังงานมาสัมพันธ์มาสัมผัสกัน

คนเราสองคนถ้าไม่รู้จักกันแล้ว ไม่เคยมีปฏิสัมพันธ์ต่อกัน แม้พอจะรู้จัก เห็นหน้าเห็นตา เดินสวนกันไปมา ทำงานในที่เดียวกันหรือตึกเดียวกัน กินข้าวร้านเดียวกัน กลับบ้านทางเดียวกัน นั่งรถเมล์ นั่งรถไฟฟ้า BTS คันเดียวกัน แต่ไม่เคยที่จะนัดแนะมาพบปะกัน นั่งพูดคุยกัน มองตาซึ้ง ๆ กัน ไปเที่ยวเฮฮา ดูหนังดูละคร ไปวัดไปวาด้วยกัน หรือทำกิจกรรมอะไร ๆ ร่วมกัน และคนทั้งคู่จะไปพบรักอะไรกันได้ ความรักของคนทั้งคู่จะเกิดไหม ที่กล่าวเช่นนี้ไม่เกี่ยวกับการที่ “แอบรัก” เขาข้างเดียวที่ต้องมีเหตุเกิดขึ้นเหมือนกัน เมื่อไม่ได้เกื้อกูลกันจะรักกันได้อย่างไร เพราะไม่มีเหตุให้เกิดเลยสักนิด แล้วจะมีผลได้อย่างไร ไม่ได้หว่านเมล็ดพันธุ์ลงไป ต้นไม้ดอกไม้ที่ไหนจะงอกออกมา

โดยความเข้าใจของคนทั่วไปนั้น พอพูดถึง “บุพเพสันนิวาส” แล้วคิดว่า “พรหมลิขิต” มักจะมีความเป็นเรื่องเดียวกันคือ เรื่องคนที่มาเจอกัน ได้รักกัน เพราะมีอำนาจเหนือโลกหรือมีพรหมลิขิต หรือบังคับเอาไว้ ไม่มีใครเปลี่ยนแปลงได้ ถูกกำหนดมาแล้ว ในเรื่องลึกลับ แท้ที่จริงแล้วความหมายของ “บุพเพสันนิวาส” นี้นั้น ช่วยมากกว่าที่เข้าใจในเรื่องที่เคยเป็นคู่กันมานั้นถูกต้องแล้ว แต่เป็นเพียงแค่หนึ่งในชีวิต เพราะยังมีความสัมพันธ์ระดับรองลงมา เพราะ “บุพเพสันนิวาส” ยังกินความหมายเข้าไปถึงการที่คนทั้งคู่อาจจะได้เคยอยู่ร่วมกันในสถานะอื่นได้หมด เช่น พี่กับน้อง พ่อกับลูก แม่กับลูก เพื่อนกับเพื่อน ศิษย์กับอาจารย์ บ่าวกับเจ้านาย หรือในบางคู่ถึงขั้นเคยเป็นศัตรูอาฆาตกันก็มี เป็นเจ้ากรรมนายเวรซึ่งกันและกัน หรือคนที่เคยทำกรรมร่วมกันมาแต่อดีตได้กลับมาทวงหนี้กรรม ที่เคยติดค้างกันไว้ หรือมาล้างแค้นโดยเฉพาะ ซึ่งมีหลายคู่ที่เจอแบบนี้ เพราะคำว่า “ทำกรรมร่วมกันมาแต่อดีตชาติ” เป็นความหมายคือ คนสองคน (หรือมากกว่านั้น) ที่ได้เคยทำอะไรร่วมกันมา จะเป็นกรรมดีก็ได้ กรรมไม่ดีก็ได้ เช่นเคยทำบุญร่วมกันมา เคยร่วมปล้นฆ่าคนมาด้วยกัน เคยทำร้ายกันและกัน เหมือนกับเพลงของ “ชาย เมืองสิงห์” ที่ว่า “ทำบุญร่วมชาติ” เป็นต้น

ดังนั้น เรื่อง “บุพเพสันนิวาส” จึงไม่จำเป็นว่าต้องเคยเป็นสามีหรือภรรยากันมาก่อนเท่านั้น ไม่ใช่และไม่จำเป็นต้องเป็นคู่ครองที่ดีหรือมีความสุขเสมอไป เพราะ “กรรม” ทีทำร่วมกันนั้น มีทั้ง “กรรมดี” และ “กรรมไม่ดี” คงหมดข้อสงสัยหรือสำหรับคนที่มีคู่ครอง ที่รู้สึกบังคับทารุณทั้งด้านร่างกายและจิตใจแบบที่เกิดมาเพื่อทำลายล้างกัน

เช่น ผัวฆ่าเมีย ฆ่าหมกส้วม ฆ่าหมกใต้ต้นไม้ เมียฆ่าผัว ผัวตีด้วยไม้กอล์ฟ ฆ่าลูกเมียหมกถังขยะดัง ที่เห็นเป็นข่าว แบบไล่ฆ่ากัน รักไม่สมหวัง หรือเกิดปัญหาร้าวฉานในครอบครัวถึงต้องลงมือปลิดชีวิตทั้งตนเองและคู่ครอง

มีอีกประเด็นหนึ่ง เราคงเคยรู้สึกว่า แค่พบครั้งแรกทำไมเหมือนรู้จักกันมานาน หรือทำไมเนื้อคู่ของเราคนนี้มีหน้าตาเหมือนกัน คล้ายกัน เช่น จมูกใหญ่เหมือนกับเรา มีอะไรเหมือน ๆ กัน คนเป็นพี่น้องกัน หรือ ทำไมคู่ครองของเราเป็นคนดุ เข้มงวด เจ้ากี้เจ้าการ บังคับเราในเกือบทุกเรื่อง บอกให้เราทำโน่นทำนี่ไม่หยุด เหมือนกับเราเป็นลูกหรือคนใช้ ไม่ใช่สามีภรรยา หลายคู่รักกันดีมาก แต่ทำงานร่วมกันไม่ได้ หรือพอพูดแล้วมีเรื่องขัดแย้ง มีแต่เรื่องร้าย ๆ จนทำให้งานนั้นไม่ก้าวหน้า หรือ พังพินาศ แต่พอแยกกันออกไปทำกับคนอื่น กลับรุ่งเรืองก็มี ดูจากภายนอกหรือกายเนื้อ ตั้งแต่ เกศา (ผม)โลมา (ขน)  นขา (เล็บ)  ทันตา (ฟัน)  จโต (หนัง) เป็นสามีภรรยาที่รักกัน แต่ภายในกายทิพย์หรือจิตเดิมยังมีความอาฆาตพยาบาท ต้องการทำร้ายทำลายอีกฝ่ายหนึ่ง ยังไม่มีการอโหสิกรรม รวมถึงยังไม่มีการชดใช้และไม่ยุติส่งผลกรรมยังว่าส่งผลอยู่เรื่อย ๆ แม้บางครั้งจะไม่ตั้งใจแต่ก็มักเกิดเรื่องให้ทะเลาะเบาะแว้งกันได้ตลอด หลายคนสงสัยว่าทำไมกรรมที่เคยทำมาจึงยังส่งผลแม้เกิดในภพใหม่แล้ว ร่างกายใหม่ ชื่อใหม่ จนจำไม่ได้แล้วว่าไปทำอะไรใครไว้แล้วผลกรรมตามหาเจอได้อย่างไร

คำตอบคือ ...กรรมที่เราทำไว้ ไม่ว่าภพชาติไหนก็ตามถูกบันทึกไว้ในดวงจิต ไม่เคยหายไปไหนเลยแม้แต่กรรมเดียว และที่ตามมาส่งผลได้แม้ว่าจะเปลี่ยน “ร่าง” เปลี่ยนภพไปแค่ไหน ก็ยังตามทั้งนั้น เพราะอยู่ใน “ดวงจิต” นั่นเอง เหมือนดุจว่าหน่วยความจำคอมพิวเตอร์ถูกบันทึกไว้เวลาจะถูกดึงมาใช้ด้วยพลังที่มีความแรงพอนั้นเอง เรียกว่า “เช็กบิล” นั่นเอง

มีคนจำนวนมากในยุคปัจจุบัน เชื่อว่าเรื่องความรักเกิดจากพรหมลิขิตชักนำ : พระพรหม ท่านเป็นคนลิขิตบังคับเราให้คนมาพบกัน เจอกัน รักกัน คนมาเป็นคู่ตะนาหงันในเรื่อง “พรหมลิขิต” นี้ท่านว่าน่าจะผันแปร ผิดทิศ เลี้ยวลงคลองไปเลย เป็นเหตุให้บางคนเชื่อ เลยไม่คิดหาคู่ของตนต่อ ทั้ง ๆ ที่ได้พบกันแล้ว ได้กระตุ้นความสัมพันธ์เดิมไปแล้ว เพราะดันไปเชื่อเสียแล้วว่าไม่ต้องทำอะไรหรอก เดี๋ยวพระพรหมจัดมาให้เอง จึงต้องอยู่คนเดียวไปตลอดชาติ เพราะขาดปัจจัยที่จะมาสนับสนุนเรื่องนี้ ครูบาอาจารย์ท่านได้เมตตาอธิบายไว้ชัดเจนว่า ...พระพรหมท่านนั้นคงไม่ไปลิขิตหรือมีอำนาจหน้าที่บังคับใครในโลกนี้ ไม่ว่าจะเรื่องจับคู่ หรือ แม้แต่ไปกำหนดชะตาชีวิตอะไรเลย แต่ที่เป็นตัวการสำคัญที่จะลิขิตชีวิตคนได้ทุกคนมีสิ่งหนึ่งสิ่งเดียวเท่านั้น ซึ่งก็คือ “กรรม”

“กรรม” เป็นผู้กำหนดเอง เรื่องของความรัก เนื้อคู่ในแบบต่าง ๆ ที่เกิดขึ้นมาเป็นเรื่องนั้น ๆ เป็นเรื่องของกรรมลิขิตส่วนนั้น การที่เคยอยู่ร่วมกันมาเป็น “กรรมเก่า” และในชาติปัจจุบันได้ใกล้ชิดกัน เกื้อกูลกันเป็น “กรรมใหม่” ซึ่งไม่ใช่เรื่องอะไรของพระพรหม หรือ อำนาจเทพอะไร

ผู้เขียนเชื่อว่า เรา ๆ ท่าน ๆ คงพอเข้าใจ “ความรักนั้นเกิดขึ้นด้วยเพราะเหตุใด” และทำไมถึงมาอยู่ด้วยกันได้ นั่นเพราะเราเป็น “เนื้อคู่กัน” เป็นเนื้อคู่แท้ เมื่อเจอกันแล้วปิ๊งกันทันทีไม่ต้องบอก ไม่พูดดูตาก็รู้ใจ เท่านี้ก็สุขแล้ว ยิ่งมีโอกาสเข้าพิธีหมั้น เข้าสู่พิธีประตูวิวาห์ ก็หมายความว่าเขาเป็นคู่กันแล้วไม่แคล้วกัน เป็นคู่ที่ดีมีความสุขมาก ๆ หรือ แบบทุกข์น้อย ๆ

อย่างไรก็ตาม ขออวยพรให้ทุก ๆ ท่านที่ยังเป็นคี่ ยังไม่มีคู่ ขอได้พบคู่ “บุพเพสันนิวาส” เกิด “ความรัก” ชอบพอกันเป็น “คู่บุญ” ที่แท้จริง จะได้ร่วมสร้างบุญสร้างกุศล ทำให้มีความสุขในชีวิตคู่ตลอดไป ดัง “ถือไม้เท้ายอดทอง กระบองยอดเพชร” ฉันใดเล่า

ความคิดเห็น
ผู้แสดงความคิดเห็น

ขอบคุณค่ะ
แสดงความคิดเห็นเมื่อ : 24/1/2561 22:20:21