ผมขยับเป้สะพายหลังให้กระชับขึ้นอีกนิดเพื่อจะได้เดินไปตามทางคนแน่นๆในศูนย์สิริกิติ์ให้ถนัดขึ้นอีกหน่อย ถ้วยลาเต้ในมืออาจทำให้ผมเดินลำบากขึ้นบ้างเพราะยังเหลืออีกตั้งค่อนกว่าจะหมด แต่มันก็ทำให้กระปรี้กระเปร่าขึ้นอีกเยอะเมื่อคิดว่ายังต้องใช้เวลาที่นั่นอีกนานพอดู
หนังสือที่ต้องการได้ก็แทบครบหมดแล้ว ... ก่อนหน้านั้นผมทำรายการมาจำนวนหนึ่งแล้วมาขีดทิ้งอีกครึ่งหนึ่งเพราะหาหนังสือที่ต้องการไม่ได้บ้างรวมทั้งบางเล่มเวลาเปิดเข้าไปอ่านแล้วมัน “ไม่ใช่” อย่างที่คิด ซึ่งก็ถือว่าเป็นเรื่องธรรมดาที่วนเวียนกันแบบนี้ทุกครั้งในงานหนังสือระดับชาติ
สาวสวยหน้าใสวัยกลางคนรายหนึ่งกำลังเลือกหนังสือที่ผมหมายตาไว้พอดี ที่จริงเมื่อห้านาทีที่แล้วผมพลิกหนังสือเล่มนั้นดูแล้วละ มันน่าสนใจมาก แต่ผมเลือกวางไว้ที่เดิมก่อนโดยหวังว่าอีกหลายๆร้านคงมีหนังสือปกนั้น และนั่นคือ “ความพลาด”ของผมเพราะหลังจากเดินไปดูร้านอื่นๆแล้วก็ไม่พบหนังสือปกนั้นผมจึงเดินวนกลับมาที่ร้านที่เจอหนังสือนั้นเป็นครั้งแรก
เหตุการณ์นั้นทำให้ผมพบ “เธอ” ที่กำลังยืนพลิกหนังสือที่ผมหมายตาเอาไว้ ตอนนั้นได้แต่คิดว่าถ้าเธอวางหนังสือนั้นลงผมคงต้องรีบไปช้อนหนังสือนั้นทันที แต่ผมได้เพียงรออยู่ตรงนั้น เพราะไม่มีทีท่าว่าเธอจะวางหนังสือลงสักที และตอนนั้นโอกาสของผมที่จะได้เป็นเจ้าของหนังสือเล่มที่หมายตากำลังหมดไปเรื่อยๆ
ความหวังทั้งหมดของผมหายไปทันทีที่เธอควักกระเป๋าจ่ายเงินค่าหนังสือเล่มนั้น ก่อนเธอจะเดินออกจากบูธหนังสือนั้นไปผมเห็นเธอชายตามองมาให้แล้วส่งยิ้ม ผมได้แต่ยิ้มเจื่อนๆเพราะมองเห็นยิ้มสวยๆของเธอที่กำลังจะจากไปพร้อมหนังสือที่ผมอยากได้
เดินออกจากพื้นที่ตรงนั้น ผมพบตัวเองนั่งอยู่ที่ร้านกาแฟเงียบๆในศูนย์ฯพร้อมกับสั่งลาเต้มาดับอารมณ์อีกถ้วย ตอนนั้นผมดื่มลาเต้สองถ้วยติดๆกันเลย (ถ้วยแรกหมดตอนที่ผมเห็นเธอเดินจากไปพร้อมหนังสือเลยซดโฮกเดียวหมดเลยทั้งๆที่มันยังอุ่นเกือบๆจะร้อนด้วยซ้ำ) จากนั้นก็เปิดกระเป๋าเป้หยิบหนังสือหลายเล่มออกมาพลิกๆดู
แน่นอนว่าผมหงุดหงิดที่พบว่าหนังสือซีรี่ที่ต้องการนั้นยังคงขาดไปแค่เล่มเดียวเท่านั้น ทั้งชุดมี 6 เล่มแต่ผมล่ามาได้แค่ 5 เล่มยังขาดแค่เล่มแรกเล่มเดียวเท่านั้น และ คนสวยคนนั้นก็คว้ามันไปแล้วพร้อมใจที่สลายของผม และทำให้ตอนนี้ผมต้องดื่มลาเต้ถ้วยที่สองอย่างเซ็งๆ
ผมกำลังคิดว่าจะเก็บหนังสือใส่เป้แล้วจะกลับบ้านสักที จู่ๆเธอคนสวยนั้นก็เดินเข้ามาในร้านกาแฟเธอปรายตามองมาที่กองหนังสือบนโต๊ะที่ผมนั่งอยู่ ยิ้มให้ แล้วก็นั่งลงที่โต๊ะถัดไป ... เราส่งสายตาให้กัน แววตาของเธอเป็นมิตรมาก ส่วนผมนั้นได้แต่ยิ้มเจื่อนๆ…ให้ตายเถอะผมแลกกับเธอด้วยรอยยิ้มของผมที่ขุ่นมัวแต่รอยยิ้มของเธอกลับใสบริสุทธิ์และดูมีความจริงใจ...
ไม่นานนัก ผมตัดสินใจเดินไปแนะนำตัวและคุยกับเธอๆไม่รังเกียจไมตรีแถมยังบอกด้วยว่าเธอเพิ่งคิดจะอ่านหนังสือที่ผมต้องการเป็นครั้งแรก โดยจะเริ่มจะเล่มที่ 1 ก่อน และเธอแปลกใจที่ผมมีเล่ม 2-6 แต่ไม่มีเล่มแรก
เราคุยกันอย่างออกรส จากเรื่องหนังสือก็มีเรื่องอื่นๆต่อไปอีกหลายเรื่อง และเป็นผมนั่นเองที่แนะนำหนังสือหลายเล่มให้เธออ่าน ตอนนั้นเธอเข้าใจแล้วว่าผมอ่านหนังสือหลายรูปแบบ หลายเล่ม
“คุณเก็บเล่ม 1 ไว้เถอะค่ะ ฉันคิดว่าคุณคงอยากสะสมให้สมบูรณ์แบบทั้งชุด”เธอยิ้มพร้อมส่งหนังสือเล่ม 1 ให้ผม
“ผมต่างหากที่อยากให้คุณเก็บทั้งชุดไว้ เพราะผมอ่านทั้งหมดแล้ว เพียงแต่มาหาเล่มที่เพื่อนยืมไปแล้วหายสาบสูญเท่านั้น” ผมเท้าความหลังบางอย่างให้เธอฟัง
“หนังสือคุณอาจสะสมได้ครบ แต่ บางอย่างคุณยังไม่มีนี่คะ” เธอเริ่มสนิทสนมพร้อมกับเวลาทีผ่านไปอย่างรวดเร็วกว่าสองชั่วโมง
“อาจเป็นแค่หัวใจเหงาๆ ที่ยังขาดคนดูแล”เธอพูดชวนให้คิด
“นี่คงพิเศษกว่าเล่ม 1 และผมจะถือว่าเป็น “เล่มพิเศษ”ได้มั้ยครับ” ผมมองตาเธอขณะพูด
“รับเล่มพิเศษเล่มนี้มั้ยคะ?”
“............” ผมจำไม่ได้ว่าตอบเธอไปอย่างไร
รู้แต่ว่าตอนนี้ผมกำลังอ่านเล่มพิเศษนั้นอยู่จนวางไม่ลง...ผมเพิ่งรู้ว่างานมหกรรมหนังสือให้อะไรดีๆกับชีวิตมากมาย โดยเฉพาะ “เล่มพิเศษ” ที่น่าอ่านที่สุด
Pete@(hand)somewhere