Login
-
 view (257 )     comment (0 )     last update : 20/4/2562 14:50:18
พี่หมื่น
จะหย่า จะมีแฟนใหม่คิดถึงหัวใจน้อย ของลูกก่อนครับ

Daddy time

บ่อยครั้ง ที่ คนเป็นสามีภรรยามักจะคิดแยกทางกันแล้วก็คิดไม่ออกกันเลย ชีวิตข้างหน้าจะอยู่อย่างไร ฉันเป็น แม่ คนเดียวจะเลี้ยงลูกได้ไหม ผมเป็นพ่อจะเลี้ยงลูกได้ไหม ทำไมละ ซำมูไรพ่อลูกอ่อนยังมี แล้ว คนเขียนโปรแกรมพ่อลูกอ่อนมันจะมีไม่ได้

 

ในเมื่อ อยู่กับภรรยา หลายเรื่องที่ไม่เข้าใจกัน ในชีวิตผู้ชายอะไรคงไม่เจ็บแสบเท่ากับรู้ว่าเขาไม่ได้รักเรา แล้วก็ ยังรู้สึกเหมือนกับเขามีคนอื่น และปัญหาสามีภรรยา ที่พูดไปก็คงไม่ดี มันก็คือผิดทั้งคู่นั่นแหละ

 

แต่บ้านก็คือบ้าน ไม่ใช่สนามรบ พ่อทะเลาะกับแม่ แม้จะไม่ถึงขั้นตบตีกัน แต่ บ้านไม่ใช่ ที่โต้วาที ไม่ควรมี เสียงด่าหยาบคายลูกก็คงไม่สุขใจ

 

คิดแล้วทำอย่างไรดี กรุงเทพไม่ใช่ที่อยู่ของผม แล้วลูกคือสิ่งเดียวในชีวิต ของผมที่ ผมรักและหวงที่สุดลูกสาวตอนนั้น 4 ขวบ เรียนอนุบาลหนึ่ง ผมต้องเอาลูกไปด้วยลูกคือชีวิตของผม

 

ใจไวเท่าความคิดผมหอบลูกไปอยู่ชลบุรีเลย โดยไม่คิดอะไรมากกว่านี้

 

ผลเป็นไง ภรรยามาตามเอาลูกกลับไปเพราะคิดว่า ลูก ถ้าดึงกลับได้ไงผมก็ต้องกลับ แต่ ไม่ใช่ครับ ผมไม่กลับ เพราะก่อนหน้านี้ ผู้ใหญ่ที่ผมนับถือบอกว่าให้ ผมปล่อยเขาไป เพราะ อย่าต่อสู้ไม่งั้นปัญหาจะเกิด อาจจะมีการเจ็บตายเกิดขึ้น ปล่อยไปก่อน ลูกปิดเทอมไม่นานเราต้องเอากลับได้

ตั้งแต่ วันนั้น มกราคม จน ถึง พฤษภาคม 2542 ไม่มีคืนไหนที่ผม มีความสุข ผมนอนร้องไห้คิดถึงลูกทุกคืน สี่เดือนเต็มๆ ที่ผม อดทน ผมใช้ เวลา ไปกับการนั่ง เงียบๆ ที่ชายหาดบางแสน โทรศัพท์คุยกับ อัยการ ผู้พิพากษา จนกระทั่งคุณพ่อเพื่อนที่ เป็นผู้ใหญ่มากในวงการกฎหมาย

 

 

[b]การจะฟ้องร้อง พิทักษ์บุตร ทำได้ ถ้าแม่เขาเลี้ยงไมได้ หรือ ปล่อยปละละเลยลูก แล้ว ต้องฟ้องที่ศาลครอบครัว ที่สนามหลวง เธอต้องเสียค่าทนาย และอื่นๆ มาก เสียเวลา และ เขาจะเอาลูกไป สอบถามว่าจะอยู่กับใคร ทรัพย์สินมีอะไรบ้าง ที่จะแบ่งกัน ระหว่างเธอและภรรยา ลูกต้องไปขึ้นศาลด้วยนะ ที่ศาลจะมี นักจิตวิทยา ทนายความ และ อีกหลายคน คุยกับเด็ก เด็กไม่เครียดหรอก เขาจะคุยกันเป็นชั่วโมง เพื่อดูว่าเด็กควรอยู่กับใคร

นอกจากนี้การฟ้องศาล ศาลจะดู ฐานะของคนเป็นพ่อด้วยว่าเลี้ยงลูกได้ไหม ในกรณี นี้ พ่อมีหน้าที่การงานมั่นคงไหม แต่ก็ไม่ได้หมายความว่า ใครดีกว่าเงินเยอะกว่าจะได้นะ ต้องดู ถึงอนาคตเด็กด้วย ”[/b]

 

 

นี่คือ คำแนะนำ ที่ได้รับมา แล้วผมก็ เช็คดูผู้พิพากษา เป็นผู้หญิง ทั้งนั้น

ตายแน่ ศาลมักจะเห็นใจผู้หญิงด้วยกัน อีก แพ้แหงๆ ว่าแล้ว สิ่งที่ผมต้องคิดต่อ ทำไงดี

กลับไปเอาลูกจะไปอย่างไร ไปอยู่ด้วยกันใหม่ซิครับ แต่การจะไปอยู่ด้วยกันใหม่ พ่อแม่ผม เป็นคนที่ผมของพูดอย่างไม่อาย ว่าผมรักลูกมากกว่าพ่อแม่ผมรักผม แล้วกัน ผมจะต้องโดนดูถูกจากทุกคนในบ้านว่าเป็นผู้ชายที่ อ่อนแอ แพ้ผู้หญิง เก่งสู้น้องสาวก็ไม่ได้ สารพัดที่เขาชอบดูถูกกันอยู่แล้ว

แต่ เชื่อผมซิครับ

[b]เพื่อความสุขชั่วชีวิตของลูก ศักดิ์ศรีของคนเป็นพ่อ มันคือเรื่องไร้สาระ !![/b]

ผมหอบหัวใจ รักและคิดถึงลูกกลับไปที่กรุงเทพฯ ไปอยู่กับครอบครัวใหม่ จะทะเลาะอะไรกัน ยอมหมด ปี 2542-2544 ผม ล้มเจ็บด้วยโรคกระเพาะ ทำงานแทบไมได้ แต่ ลูกครับคือกำลังใจ ผม ต้องดำเนินการใหม่ คือเลี้ยงลูกให้โต ให้เข้มแข็ง ให้ลูกติดผม

 

ในโลกนี้ไม่มีความสัมพันธ์ใด จะสวยงามเท่ากับ ความ สัมพันธ์ระหว่างพ่อ กับลูกสาว หัวใจผม อยู่แทบเท้าลูกสาว ผมรักลูก วันหยุด พาลูกไปเที่ยว พระบรมมหาราชวัง สวนสัตว์ พระที่นั่งวิมานเมฆ แล้วแต่เงินในกระเป๋า ช่วงนั้นจะอำนวย เนื่องจาก ภรรยาไม่ได้ สนใจลูกเท่าไร เห็นว่าผม กลับมาแล้วคงจบผมคงสิ้นฤทธิ์

 

ผมต้องขับรถไปส่งลูกตอนเช้า กลับมานั่งเขียนโปรแกรมคอมพิวเตอร์ บางวันต้องเดินทางไปสุพรรณบุรี อยุธยา แต่ไงก็ต้องรีบกลับมาให้ทัน 16.00 เพราะต้องรับลูก อาจจะเป็นกลยุทธของภรรยาด้วย ไม่ให้ผมไปไหนไกล ถ้าออกต่างจังหวัดก็ต้องรีบกลับมา ให้ทันเวลา

 

แล้วจากนั้น ผมก็ไปซื้อ หากับข้าว อาจจะเป็นซีคอน หรือเสรีเซนเตอร์ แล้ว คนเขียนโปรแกรม ก็กลายร่างเป็น พ่อครัวหัวป่า ทำกับข้าว ให้ลูกกิน ลูกสาว เริ่มโตแล้วเรียน ป.1 แล้ว

ยำตะไคร้ ต้มข่าไก่ ปลากระพงขาวนึ่งมะนาว ฯลฯ

กินเสร็จ ก็ สอนการบ้านลูก เอาลูกเข้านอน ลูกหนุนแขนพ่อ พ่อเกาพุงให้ลูก มือพ่อนิ่มๆ มือแม่ชิดซ้ายเลยนะจะบอกให้ บางวัน เหนื่อยจัด เอาลูกเข้านอนพ่อหลับไปด้วย ไม่เป็นไร อย่างน้อยก็ได้กอดลูกหลับ

สารพัดที่จะทำ มันเหมือนสวรรค์เป็นใจ ที่ทำให้ผมได้ใกล้ชิดลูก

ผมทำงานด้วยเลี้ยงลูกด้วย ภรรยา ขายเสื้อผ้าที่ The mall บางกะปิ มีรายการให้ช่วยค่าใช้จ่ายหนักๆ ประจำ ขายของทุนหายกำไรหด ประจำ ผมเอง ต้องทำงาน ด้วย เลี้ยงลูกด้วย รายได้ ช่วงนั้นก็จำกัด งานการก็พังเละ

 

สุดท้าย ก็ทะเลาะกัน ผมเงียบตลอด เพราะเป้าหมายคือเอาลูกกลับชลบุรีให้ได้ อะไรที่ทนได้ก็ทน ทนไม่ได้ก็ต้องทน !!

 

ปี 2545 ลูกขึ้น ป.2 ลูกสาวเริ่มโตแล้ว เวลาของผมมาแล้ว ผมว่างๆ ขับรถ พาลูกจากกรุงเทพฯ มา ชลบุรีมาใกล้ชิดปู่ย่า ญาติผู้ใหญ่ และที่ขาดไม่ได้ คือ มาโรงเรียน เก่าผม อัสสัมชัญศรีราชา ให้ลูกได้เห็นบรรยากาศ ศรีราชา และ มาที่ โรงเรียนเซนปอลคอนแวนต์ ที่เป็นโรงเรียนหญิง ที่ จะให้ลูกเรียนต่อที่นี่

มาทำไม เด็กนะครับ ถ้าได้เห็นบรรยากาศ ได้เห็นอะไรที่ดี เช่นโรงเรียน ได้เห็น ปู่ย่า ความอบอุ่น ไม่พบความขัดแย้งและทะเลาะกัน เขาก็อยากอยู่ [b]การแยกลูกแยกด้วยคำสั่งศาล นะมันสู้แยกมาด้วยคำสั่งของหัวใจลูกไม่ได้หรอกครับ[/b] อย่างหลังมัน คือ สิ่งที่เป็นถาวรมากกว่า

สุดท้าย ผมก็ บอกลูกว่า ถึงเวลาแล้วที่เราต้องมาอยู่ชลบุรี

ลูกเอ๋ย มาอยู่ชลบุรี นี้ จะทำให้ลูกได้เรียนในโรงเรียน ที่ดี มีปู่มีย่า พ่อก็ต้องได้ทำงานเต็มที่ จะได้มีเงินเยอะ ๆได้ส่งลูกเรียนสูงๆ แล้ว การมานี้ไม่ได้ว่าตัดขาดจากแม่นะ แต่ แม่ยังอยู่ อยู่กับลูกเสมอ เพียงแต่แม่มีงานที่ต้องทำที่กรุงเทพฯ อยู่ก่อน เรามากันก่อน ลูกอยากเรียนที่นี่ไหม”

ลูกสาวตอบตกลง ว่ามาอยู่

วันที่ 3 มีนาคม 2546 วันที่ต้องแยกผมให้ลูกสาวโทรบอกแม่ก่อน

แม่หนูจะไปอยู่บ้านปู่ที่ชลบุรีนะ”

อ้าวแล้วพรุ่งนี้ไม่ไปโรงเรียนหรือ” เสียงตอบกลับมา แม่ยังไม่รู้เลยว่า นี่ลูกสาวปิดเทอมแล้ว แล้วก็ไม่ระแคะระคายใจว่า ลูกจะไปอยู่ยาวเลย

ผมได้พาลูกมาอยู่ชลบุรี พาลูกว่ายน้ำ ไปไหนมาไหนกับลูก ทำงานที่ชลบุรี ผมรับจ้างเขียนโปรแกรมให้บริษัทในกรุงเทพฯถึงเวลาก็ไป หรือไม่ก็ส่ง E-mail ให้เขา เอาเวลาอยู่กับลูกให้มาก

การแยกลูกมานี้ ต้องให้เขา รู้สึกว่าเขายังมีพ่อ พ่อเป็นตัวหลักของเขาอยู่ ลูกก็อบอุ่นใจ เพราะการที่พ่อแม่แยกกัน หัวใจลูกคือสิ่งที่ยิ่งใหญ่ พ่อจะทิ้งลูกตอนนี้ไมได้ แล้วก็ต้องไม่พาลูกไปหาแม่ ก่อน เวลาที่ สมควร เพราะ มันเหมือนผลไม้ต้องให้ลืมต้นก่อน แล้วจากนั้นจะพาไปหาก็ไปหา

สามเดือนแม่ไม่เคยแม้แต่มาเยี่ยม ผมก็ไม่พาลูกไปหา ได้แต่คุยทางโทรศัพท์

แล้วผมก็เอาลูกเข้าเรียน ในชลบุรีก่อน เพราะสมัครเข้าเซนต์ปอลไม่ทัน ตอนนี้แหละครับ แม่เขารู้แล้วว่า ผมแย่งลูกมาแล้ว มีการส่ง SMS มาข่มขู่ผมทุกอย่าง แล้วเขาก็โทรหาลูกสาว

หนูจะอยู่บ้านย่า เรียนหนังสือที่ชลบุรี ปีหน้าจะไปสอบเข้าเซนต์ปอล แล้วก็ อยู่กับพ่อ หนูรักพ่อ”

จบครับ แบบนี้ ใครจะมาแย่งลูกไปได้ละ หัวใจลูกอยู่ที่ผมแล้ว ผมคือผู้ชนะ

ทีนี้ ลูกเป็นของผมแล้ว

การเป็นคุณพ่อที่ต้องเลี้ยงลูกสาวคนเดียวนี่ไม่ใช่ เรื่องหมู ๆ เพราะ สังคมที่เปลี่ยนแปลงรวดเร็ว ผมเอาใจใส่ลูกสาวเหมือนเดิม ทุกก้าวย่างของลูกอยู่ในสายตาของผมตลอด

อะไรที่จะต้องเกิด ต้องเตรียมไว้ก่อน ไม่ว่าเรื่อง

โดนหาว่าเป็นลูกไม่มีแม่ เรื่องการคบเพื่อน ญาติพี่น้อง ที่เขาเป็นครอบครัวครับ

สิ่งที่ดีที่สุดคือไม่ว่ากล่าวแม่ให้ลูกได้ยิน แม้จะเกลียดแม่เข้าไส้ ผมก็คือเงียบ แล้วพูดว่าแม่ยังรักหนูแต่มีความจำเป็นที่ต้องทำงานที่กรุงเทพฯ ถึงเวลา ผมก็พาลูกไปหาแม่ สมัยก่อน ให้ลูกไปหาแม่ทุกอาทิตย์แต่ด้วยน้ำมันแพงขึ้นก็ลดลงเหลือแค่ เดือนละหนึ่งครั้ง ให้แม่ลูกได้อยู่ด้วยกัน ผมก็ อาจจะ หอบงานไปนั่งทำด้วย แล้วก็ ปล่อยให้เขาไปซื้อขนม กันบ้าง เพราะตอนนี้แน่ใจว่าลูกไม่กลับหาแม่แล้ว

ระหว่างที่ลูกอยู่กับเราคนเดียว สัญญา พ่อคือสัญญาที่ต้องรักษา ลูกสาวมักจะกลัวพ่อ มีแม่ใหม่ กลัวการมีลูกใหม่ พ่อก็มีปัญหาเหมือนกัน ที่ บางครั้งหัวใจพ่อแม้จะเข้มแข็งมันก็อ่อนล้าอยากมีใครซักคนดูแลเหมือนกัน แต่ อย่างที่บอก อะไร ที่ จะกระทบจิตใจลูกก็ต้อง งดไว้ก่อน

จนวันนี้ ลูกผม เรียน ป.6 แล้ว เขาโตแบบคนที่มีความเชื่อมั่นในตัวเอง เป็นคนอดทน และ เข้มแข็ง มีอะไรจะมารายงานพ่อก่อน เพราะผมเคยบอกว่า เมื่อมีปัญหา ให้บอกพ่อ อย่าให้ปัญหาหมักหมมเป็นปัญหาใหญ่แล้วพ่อจะแก้ไม่ได้

 

การ เป็นพ่อที่ต้องเลี้ยงลูก แบบผม อย่าคิดว่าเป็นปัญหาใหญ่ อย่าคิดว่าหัวใจลูกไม่มีความหมาย อย่าคิดว่าลูกเป็นเหมือนตุ๊กตาที่แย่งมาจากแม่เขาแล้วก็ปล่อยทิ้งขว้างได้ ตุ๊กตาตัวนี้มีหัวใจนะครับ แล้วเป็นหัวใจที่เปราะบางด้วย ดังนั้น ต้องระลึกเสมอ ว่า ต้องเอาใจใส่เขา แต่ไม่ใช่ตามใจ

พ่อตีลูกได้ ดุลูกได้ แต่ต้องมีเหตุผลในการทำ เสมอ

แล้ว หัวใจลูกและพ่อจะหลอมเป็นดวงเดียวกัน จนวันที่พ่อสิ้นลม!!

ความคิดเห็น
--- No Comment ---