Login
-
 view (298 )     comment (9 )     last update : 30/8/2562 21:20:17
Pete
Because I Love You….

หลายสิบปีมาแล้วที่ค่ายผู้อพยพที่พนัสนิคม...ผมมีโอกาสได้รู้จักกับสาวสวยผิวขาวชาวญวน หน้าตาสวยแบบธรรมชาติ มีรอยยิ้มพิมพ์ใจ รูปร่างดี และเธออายุราว 18 ปีในขณะที่ผมก็ปาเข้าไปกลางยี่สิบแล้ว และที่ผมเข้าไปในค่ายนั้นได้ก็เพราะตามไอ้น็อต-เพื่อนผมที่ทำหน้าที่สอนผู้อพยพ (ให้พร้อมสำหรับการไปใช้ชีวิตอยู่ในโลกที่เจริญแล้วเช่นที่อเมริกาเป็นต้น) ไปทำงานด้วยพักหนึ่ง

 

เธอคนนั้นชื่อ “ถั่ม” ส่วนจะชื่อเต็มอะไรก็ขอไม่บอกนะครับ เอาเป็นว่าเราตั้งชื่อให้เธอเป็นฝรั่งเพื่อเตรียมไปอยู่อเมริกาว่า “แทมมี่” ก็แล้วกัน...สาวแทมมี่นั้นเป็นลูกคนมีฐานะในเวียดนามใต้ก่อนที่จะโดนคอมมิวนิสต์เวียดนามเหนือบุกและทำลายทุกอย่างจนหมด ตัวเธอและครอบครัวหนีกระเซอะกระเซิงกันมาโดยมีทั้งเข้าป่าและลงเรือกระทั่งมาถึงเมืองไทยจนได้

 

เวลานั้นถั่มสูญเสียพ่อแม่ไปแล้วคงมีเพียงญาติทางฝ่ายแม่เท่านั้นที่ยังมีลมหายใจอยู่กับเธอจนมาถึงที่เมืองไทยก่อนจะถูกผลักไปที่ศูนย์อพยพที่พนัสนิคมในเวลาต่อมา  ...นั่นเป็นเรื่องราวบางส่วนของเธอ

 

ความสวยที่เป็นเหมือนดาบสองคมของเธอทำให้มันเป็นตัวเรียกใครต่อใครให้เตรียมผูกไมตรีกับเธอมากมาย คงไม่ต้องสงสัยว่ามันสร้างความอึดอัดให้เธอขนาดไหน ไม่ว่าจะเป็นพวกเวียดนามด้วยกันเอง หรือเจ้าหน้าที่บางคน ฯลฯ

 

ผมมีโอกาสได้สอนหนังสือภาษาอังกฤษให้เธอ สอนวิธีการใช้ชีวิตในเมืองใหญ่ การเข้าซุปเปอร์มาร์เก็ต ประโยคง่ายๆในการซื้อของการคิดเงินและการทอนเงิน รวมไปถึงทักษะการใช้ชีวิตต่างๆ และดูเหมือนเธอให้ความสนใจในเรื่องที่ผมถ่ายทอดให้เธอฟังโดยเฉพาะการที่ผมมีเพื่อนร่วมมหาวิทยาลัยในอเมริกาที่เป็นทั้งเอเชียและตะวันตก

 

ที่เธอสนใจมากๆคือการปรับตัวของคนเอเชีย(ที่เป็นเพื่อนๆของผม)กับวิถีชีวิตแบบตะวันตกโดยเฉพาะที่อเมริกา ซึ่งผมก็แนะนำไปตามความเป็นจริง เห็นอย่างไรก็พูดไปอย่างนั้น ที่จริงแล้วมันมีประเด็นมากมายจนนึกไม่ถึงหากมองจากคำถามที่เธอถามเจาะลึกทุกวัน...บอกตามตรงว่าตอนนั้นผมไม่ได้จีบเธอ ไม่รู้ว่าเพราะอะไร หากแต่เธอเป็นคนที่ตั้งคำถามผมถี่ยิบจนรู้สึกผูกพัน

 

จากที่ไม่ค่อยรู้สึกอะไรเพราะมองๆว่าเธอก็เหมือนเพื่อนๆที่มหาวิทยาลัยของผมที่บางคนก็สวยกว่าแทมมี่เสียอีกกระทั่งกลายเป็นอะไรบางอย่างที่มันชักจะไม่ค่อยเข้าท่าแล้ว...เวรจริงๆที่ตอนนั้นเพลง Because I Love You ของ Shakin’ Stevens กำลังดังกระหึ่มและเป็นวัฒนธรรมตะวันตกที่คนในค่ายอพยพให้ความสนใจระดับหนึ่ง แต่แทมมี่นั้นเธอชอบเพลงนี้มาก

 

เธอถามผมหลายเรื่อง และบางเรื่องผมไม่ตอบเธอ คำถามประเภทนั้น คือ การจูบแบบเฟรนช์คิสนั้นให้ความรู้สึกเช่นไร และ ต้องกอดหรือประสานมือกันหรือไม่....ผมไม่อยากมองว่านั่นเป็นเรื่องของตะวันตกที่บางทีเธออาจจะรู้ในอนาคต แต่ถ้าถามผมตอนนั้นเพื่ออยากรู้สึกถึงฟิลลิ่งจริงๆผมคงทำไม่ได้...(สภาพตัวเองตอนนั้นต้องใช้กำลังใจอย่างหนักเพื่อต่อสู้กับอะไรที่กำลังจะพาไปยังมิติมืด?) และที่จริงนั่นเป็นแค่คำถามที่ชวนเข้าเรทแล้ว มีอีกหลายคำถามที่ผมฟังแล้วขนลุก....

 

ผมสอนอยู่ที่นั่นได้ไม่นานก็ต้องเดินทางกลับไปที่แมรี่แลนด์เพราะต้นสังกัดเดิมออกคอนแทคต์ให้เดินทางไปทำงาน ตอนนั้นผมทิ้งที่อยู่ของบริษัทให้กับแทมมี่เอาไว้เผื่อเธอได้เดินทางไปสเตทสักวันก็อาจจะโทรหาผม (เวลานั้นไม่มีใครบอกได้ว่าเธอจะได้เดินทางไปที่ประเทศไหนกันแน่เพราะต้องรอโควต้าและการตอบรับ) แล้วผมก็จากเธอไป  ผมจำสายตาละห้อยของเธอได้ดี

 

หลายปีที่ผมใช้ชีวิตหัวหกก้นขวิดอยู่ที่แมรี่แลนด์ ได้พบเพื่อนเก่าสมัยเรียน และพากันขับรถเที่ยวรอบสเตทครั้งใหญ่รอบสองกันอีกเพื่อทบทวนความหลังกัน (ใครที่อ่านเรื่องเก่าๆของผมคงจำได้ว่า ผมเคยเอาเจ้า เซก้า ไปทิ้งไว้ที่ๆปัจจุบันเป็น area 51 ไปแล้ว) ผมคบสาวตามแต่โอกาสจะอำนวย ซึ่งมันก็เป็นเรื่องปกติของผู้ชายอยู่แล้ว

 

คืนเหงาๆคืนหนึ่งไอ้พอลที่เป็น Help Desk รอบดึกต่อสายมาหาผมที่ห้องพักมันบอกว่ามีคนถามหาผมให้ผมช่วยบอกทางไปที่ห้องพักด้วย ตอนนั้นงงๆมาก ก็เลยขอพูดสายตรงกับคนที่ต่อสายไปหามันสักพักก็ได้คุยสายกันปรากฎว่าเป็นเสียงผู้หญิงเอเชียที่ผมไม่คุ้นนึกเท่าไหร่ก็นึกไม่ออก สุดท้ายเธอบอกว่าชื่อแทมมี่ผมก็ยังงงๆว่าแทมมี่ไหนกัน เธอว่า “ไม่เป็นไรช่วยบอกแท็กซี่ให้หนูหน่อยก็แล้วกัน แล้วค่อยเจอกัน” ตอนนั้นผมยังไม่หายงงแต่ก็บอกทางไป คิดว่าอาจจะเป็นญาติทางฝั่งไหนของผมก็ไม่รู้

 

พักใหญ่ก็มีเสียงเคาะประตูอพาร์ตเม้นต์พอเปิดประตูก็พบสาวเอเชียคนหนึ่งสวยมากผมจำเธอไม่ได้จริงๆว่าคือใครกระทั่งเธอเอ่ยชื่อแทมมี่ก็ยังงงเข้าไปอีก (แย่จริงผมลืมเธอได้ไง?) ตอนนั้นหิมะยังเกลื่อนทั่วฮู้ดที่เธอสวมหัวและช่วงไหล่แสดงให้เห็นว่าหิมะลงหนักในคืนนั้นขนาดลงแท็กซี่วิ่งเข้าอาคารยังโดนหิมะ

 

เธอเข้ามาในห้อง ค่อยๆท้าวความหลัง ขณะที่ผมชงชาอุ่นๆให้เธอดื่ม ผมเปิดฮีตเตอร์ให้อุ่นขึ้น(เอาเสื้อผ้าที่ซักน้ำหมาดๆออกจากตะแกรงฮีตเตอร์เพราะผมชอบให้มันแห้งเร็วแบบนั้น ที่จริงมีอันเดอร์แวร์ด้วยไม่อยากบอกมาก-เขิน)และเตรียมจะอุ่นอาหารให้เธอเพราะเกรงว่าจะหิว ซึ่งเธอปฏิเสธไปหากแต่หยิบแชมเปญที่เตรียมมาเปิดฉลองกัน เธอว่าเธอขอบคุณผมมากๆที่ช่วยสอนเธอในเรื่องต่างๆตอนที่อยู่ค่ายอพยพ กระทั่งตอนหลังเธอได้รับการเลือกให้เป็นซิติเซ่นที่อเมริกาโดยได้มาเรียนหนังสือระยะหนึ่งแล้ว ระหว่างนั้นก็คิดอยากจะมาขอบคุณผมตลอด-คิดว่าจะมาด้วยตัวเองดีกว่าจะโทรมา เพราะจะได้เซอร์ไพร้ส์แต่ก็หลงทางเหตุการณ์เลยต้องลงเอยแบบนั้น

 

ผมกำลังงงว่าจะเอาไงดีกับเหตุการณ์ที่ว่า...จะให้เธอไปนอนที่อื่นเดี๋ยวก็จะหาว่าขับไล่ไสใส่ จะไปฝากเพื่อนผู้หญิงก็เกรงว่าดึกหิมะตกหนักแบบนั้นมันจะเหมาะหรือไม่ และเจ้ากรรม...เธอดันเอาคาสเซ็ทต์เทป(ยุคนั้นใช้แบบนั้น)เพลง Because I Love You มาเปิดอีก...คราวนี้เธอบอกผมว่ายังเต็มใจจะสอนเธอ ยังเห็นเธอเป็นนักเรียนของผมอยู่หรือเปล่า?

 

ตกลงบทเรียนการสอนจูบแบบเฟรนช์คิสจึงเกิดขึ้น ผมไม่รู้ว่าตัวเองสอนได้ดีหรือเลวเพียงใด แต่เธอให้ผมสอนอยู่พักหนึ่งจึงเข้าใจว่าอะไรเป็นอะไร และลามปามไปถึงการวางมือวางไม้ว่าควรจะวางอย่างไรระหว่างเฟรนช์คิสนั้น...ผมว่าคืนนั้นแทมมี่ได้เรียนรู้แล้วว่าอะไรเป็นอะไรมากมาย มันเป็นคืนแห่งการเรียนรู้ของแทมมี่เพื่อจะใช้ชีวิตต่อไปในโลกตะวันตกตามความเหมาะสม

 

แทมมี่อยู่กับผมอีกสองคืนก่อนจะกลับไปเรียนต่อจนจบ วันที่เธอรับปริญญาผมไม่ได้ไปร่วมงาน เพราะตอนนั้นผมข้ามไปทำงานที่ออสเตรเลียโดยไปประจำอยู่ที่เมืองเพิร์ธทางตะวันตกของออสเตรเลีย ส่วนแทมมี่นั้นตอนหลังได้ข่าวว่าแต่งงานกับวิศวกรอเมริกันและมีลูกน่ารักสองคน

 

เวลาผ่านไปเกือบสามทศวรรษแทมมี่กลายเป็นแม่ม่ายสามีตายลูกชายทั้งคู่ก็ทำงานในยุโรปคนหนึ่งเอเชียคนหนึ่ง และในวันที่เธออายุเฉียด 50 เข้าไปแล้วตอนนี้เธอยังสวยพริ้งแทบไม่ต่างจากวันแรกๆที่ผมพบเธอ เราคุยทางไกลกันสะดวกขึ้นด้วยระบบไลน์และเธอมักจะพูดเล่นๆผ่านไลน์ว่า ยังอยากฟังเพลง Because I Love You เหมือนคืนที่อยู่ในแมรี่แลนด์

 

“You’re kidding me” ผมเย้าเธอ

 

“I’m serious” เธอตอบหนักแน่น

 

ผมปล่อยให้เวลาผ่านไปเรื่อยๆ...บางที ความหลังมันก็มีที่มีทางของมัน และมันจะสวยงามในเวลาที่เหมาะสมเท่านั้น ปัจจุบันไม่จำเป็นต้องย่ำรอยอดีต...โลกมีการเปลี่ยนแปลงอยู่เสมอ

 

Pete@(hand)somewhere

ความคิดเห็น
ผู้แสดงความคิดเห็น

อ่านและนึกภาพตามเสมอ.....วู้วววววว? หยึย?ๆ? บรึ๋ยๆ? ฟิน? 5555? ไม่รู้จะอธิบายยังไง? หลายต่อหลายครั้งกับคนหลายๆ? คน? ที่เรามักจะหลงลืมไปแล้วเมื่อกลับมาพบกันอีกครั้งก็มักสะดุดว่าเอ๊ะ!! ทำไมคุ้นหน้าจัง? ถ้าไม่ทักทายก็มักจะเดินผ่านเลยกันไปแล้วปล่อยให้มันจบไปแบบนั้นเสมอๆ? ^_^
แสดงความคิดเห็นเมื่อ : 31/8/2562 8:47:21
ผู้แสดงความคิดเห็น

ตอนที่แทมมี่เป็นแม่ม่ายแล้วนั้น...ผมต้องใช้ความพยายามมากกว่าที่เคยพยายามเป็นร้อยาเท่าครับ...เพลงนั้นยังก้องในสมองตลอด...ตอนนี้แม้บทเพลงจะแผ่วลงบ้างแต่คำตอบสุดท้ายของเธอที่ว่า I'm serious กลับดังมากกว่า ...

ยังไง ...ชีวิตก็ต้องเดินต่อไปครับ....

ขอบคุณที่แชร์ไอเดียครับ
แสดงความคิดเห็นเมื่อ : 31/8/2562 9:27:56
ผู้แสดงความคิดเห็น

เป็นกำลังใจค่ะ...ถ้าจะใช่หนียังไงก็ไม่พ้น ถ้าไม่ใช่พยายามอย่างไรก็สูญเปล่ามันเป็นแบบนั้นเสมอค่ะ ^^
แสดงความคิดเห็นเมื่อ : 31/8/2562 10:13:19
ผู้แสดงความคิดเห็น

เวลา พาทุกอย่างมา และจะพาทุกอย่างไปจากคุณ..เสมอ..
แสดงความคิดเห็นเมื่อ : 31/8/2562 16:19:58
ผู้แสดงความคิดเห็น

To Pup,

เราต่างมีโลกคนละใบ

โลกของผมอยู่ที่เมืองไทย อาหารไทย สิ่งแวดล้อมแบบไทยๆ และคิดว่านี่คือ Last Resort ของผมโดยแท้จริง

แต่โลกของอีกคนเขาอยู่ที่สเตทครับ เขาคงไม่ทิ้งที่นั่นไปไหนเช่นกัน

ผมพอใจกับความเป็นไทยๆ ส่วนอดีตที่มีกลิ่น่นมเนยหรือแหนมเนืองนั้น มัน end game ที่แมรี่แลนด์แล้วครับ ขอบคุณนะครับ
แสดงความคิดเห็นเมื่อ : 31/8/2562 16:58:07
ผู้แสดงความคิดเห็น

To Lee,

Welcome back....

I'm glad you're here.
แสดงความคิดเห็นเมื่อ : 31/8/2562 17:00:10
ผู้แสดงความคิดเห็น

To pete...May I be here?
แสดงความคิดเห็นเมื่อ : 4/9/2562 13:46:35
ผู้แสดงความคิดเห็น

To Lee....

You've got Lifetime invitation.

แสดงความคิดเห็นเมื่อ : 4/9/2562 21:50:25