Because I Love You….
หลายสิบปีมาแล้วที่ค่ายผู้อพยพที่พนัสนิคม...ผมมีโอกาสได้รู้จักกับสาวสวยผิวขาวชาวญวน หน้าตาสวยแบบธรรมชาติ มีรอยยิ้มพิมพ์ใจ รูปร่างดี และเธออายุราว 18 ปีในขณะที่ผมก็ปาเข้าไปกลางยี่สิบแล้ว และที่ผมเข้าไปในค่ายนั้นได้ก็เพราะตามไอ้น็อต-เพื่อนผมที่ทำหน้าที่สอนผู้อพยพ (ให้พร้อมสำหรับการไปใช้ชีวิตอยู่ในโลกที่เจริญแล้วเช่นที่อเมริกาเป็นต้น) ไปทำงานด้วยพักหนึ่ง
เธอคนนั้นชื่อ “ถั่ม” ส่วนจะชื่อเต็มอะไรก็ขอไม่บอกนะครับ เอาเป็นว่าเราตั้งชื่อให้เธอเป็นฝรั่งเพื่อเตรียมไปอยู่อเมริกาว่า “แทมมี่” ก็แล้วกัน...สาวแทมมี่นั้นเป็นลูกคนมีฐานะในเวียดนามใต้ก่อนที่จะโดนคอมมิวนิสต์เวียดนามเหนือบุกและทำลายทุกอย่างจนหมด ตัวเธอและครอบครัวหนีกระเซอะกระเซิงกันมาโดยมีทั้งเข้าป่าและลงเรือกระทั่งมาถึงเมืองไทยจนได้
เวลานั้นถั่มสูญเสียพ่อแม่ไปแล้วคงมีเพียงญาติทางฝ่ายแม่เท่านั้นที่ยังมีลมหายใจอยู่กับเธอจนมาถึงที่เมืองไทยก่อนจะถูกผลักไปที่ศูนย์อพยพที่พนัสนิคมในเวลาต่อมา ...นั่นเป็นเรื่องราวบางส่วนของเธอ
ความสวยที่เป็นเหมือนดาบสองคมของเธอทำให้มันเป็นตัวเรียกใครต่อใครให้เตรียมผูกไมตรีกับเธอมากมาย คงไม่ต้องสงสัยว่ามันสร้างความอึดอัดให้เธอขนาดไหน ไม่ว่าจะเป็นพวกเวียดนามด้วยกันเอง หรือเจ้าหน้าที่บางคน ฯลฯ
ผมมีโอกาสได้สอนหนังสือภาษาอังกฤษให้เธอ สอนวิธีการใช้ชีวิตในเมืองใหญ่ การเข้าซุปเปอร์มาร์เก็ต ประโยคง่ายๆในการซื้อของการคิดเงินและการทอนเงิน รวมไปถึงทักษะการใช้ชีวิตต่างๆ และดูเหมือนเธอให้ความสนใจในเรื่องที่ผมถ่ายทอดให้เธอฟังโดยเฉพาะการที่ผมมีเพื่อนร่วมมหาวิทยาลัยในอเมริกาที่เป็นทั้งเอเชียและตะวันตก
ที่เธอสนใจมากๆคือการปรับตัวของคนเอเชีย(ที่เป็นเพื่อนๆของผม)กับวิถีชีวิตแบบตะวันตกโดยเฉพาะที่อเมริกา ซึ่งผมก็แนะนำไปตามความเป็นจริง เห็นอย่างไรก็พูดไปอย่างนั้น ที่จริงแล้วมันมีประเด็นมากมายจนนึกไม่ถึงหากมองจากคำถามที่เธอถามเจาะลึกทุกวัน...บอกตามตรงว่าตอนนั้นผมไม่ได้จีบเธอ ไม่รู้ว่าเพราะอะไร หากแต่เธอเป็นคนที่ตั้งคำถามผมถี่ยิบจนรู้สึกผูกพัน
จากที่ไม่ค่อยรู้สึกอะไรเพราะมองๆว่าเธอก็เหมือนเพื่อนๆที่มหาวิทยาลัยของผมที่บางคนก็สวยกว่าแทมมี่เสียอีกกระทั่งกลายเป็นอะไรบางอย่างที่มันชักจะไม่ค่อยเข้าท่าแล้ว...เวรจริงๆที่ตอนนั้นเพลง Because I Love You ของ Shakin’ Stevens กำลังดังกระหึ่มและเป็นวัฒนธรรมตะวันตกที่คนในค่ายอพยพให้ความสนใจระดับหนึ่ง แต่แทมมี่นั้นเธอชอบเพลงนี้มาก
เธอถามผมหลายเรื่อง และบางเรื่องผมไม่ตอบเธอ คำถามประเภทนั้น คือ การจูบแบบเฟรนช์คิสนั้นให้ความรู้สึกเช่นไร และ ต้องกอดหรือประสานมือกันหรือไม่....ผมไม่อยากมองว่านั่นเป็นเรื่องของตะวันตกที่บางทีเธออาจจะรู้ในอนาคต แต่ถ้าถามผมตอนนั้นเพื่ออยากรู้สึกถึงฟิลลิ่งจริงๆผมคงทำไม่ได้...(สภาพตัวเองตอนนั้นต้องใช้กำลังใจอย่างหนักเพื่อต่อสู้กับอะไรที่กำลังจะพาไปยังมิติมืด?) และที่จริงนั่นเป็นแค่คำถามที่ชวนเข้าเรทแล้ว มีอีกหลายคำถามที่ผมฟังแล้วขนลุก....
ผมสอนอยู่ที่นั่นได้ไม่นานก็ต้องเดินทางกลับไปที่แมรี่แลนด์เพราะต้นสังกัดเดิมออกคอนแทคต์ให้เดินทางไปทำงาน ตอนนั้นผมทิ้งที่อยู่ของบริษัทให้กับแทมมี่เอาไว้เผื่อเธอได้เดินทางไปสเตทสักวันก็อาจจะโทรหาผม (เวลานั้นไม่มีใครบอกได้ว่าเธอจะได้เดินทางไปที่ประเทศไหนกันแน่เพราะต้องรอโควต้าและการตอบรับ) แล้วผมก็จากเธอไป ผมจำสายตาละห้อยของเธอได้ดี
หลายปีที่ผมใช้ชีวิตหัวหกก้นขวิดอยู่ที่แมรี่แลนด์ ได้พบเพื่อนเก่าสมัยเรียน และพากันขับรถเที่ยวรอบสเตทครั้งใหญ่รอบสองกันอีกเพื่อทบทวนความหลังกัน (ใครที่อ่านเรื่องเก่าๆของผมคงจำได้ว่า ผมเคยเอาเจ้า เซก้า ไปทิ้งไว้ที่ๆปัจจุบันเป็น area 51 ไปแล้ว) ผมคบสาวตามแต่โอกาสจะอำนวย ซึ่งมันก็เป็นเรื่องปกติของผู้ชายอยู่แล้ว
คืนเหงาๆคืนหนึ่งไอ้พอลที่เป็น Help Desk รอบดึกต่อสายมาหาผมที่ห้องพักมันบอกว่ามีคนถามหาผมให้ผมช่วยบอกทางไปที่ห้องพักด้วย ตอนนั้นงงๆมาก ก็เลยขอพูดสายตรงกับคนที่ต่อสายไปหามันสักพักก็ได้คุยสายกันปรากฎว่าเป็นเสียงผู้หญิงเอเชียที่ผมไม่คุ้นนึกเท่าไหร่ก็นึกไม่ออก สุดท้ายเธอบอกว่าชื่อแทมมี่ผมก็ยังงงๆว่าแทมมี่ไหนกัน เธอว่า “ไม่เป็นไรช่วยบอกแท็กซี่ให้หนูหน่อยก็แล้วกัน แล้วค่อยเจอกัน” ตอนนั้นผมยังไม่หายงงแต่ก็บอกทางไป คิดว่าอาจจะเป็นญาติทางฝั่งไหนของผมก็ไม่รู้
พักใหญ่ก็มีเสียงเคาะประตูอพาร์ตเม้นต์พอเปิดประตูก็พบสาวเอเชียคนหนึ่งสวยมากผมจำเธอไม่ได้จริงๆว่าคือใครกระทั่งเธอเอ่ยชื่อแทมมี่ก็ยังงงเข้าไปอีก (แย่จริงผมลืมเธอได้ไง?) ตอนนั้นหิมะยังเกลื่อนทั่วฮู้ดที่เธอสวมหัวและช่วงไหล่แสดงให้เห็นว่าหิมะลงหนักในคืนนั้นขนาดลงแท็กซี่วิ่งเข้าอาคารยังโดนหิมะ
เธอเข้ามาในห้อง ค่อยๆท้าวความหลัง ขณะที่ผมชงชาอุ่นๆให้เธอดื่ม ผมเปิดฮีตเตอร์ให้อุ่นขึ้น(เอาเสื้อผ้าที่ซักน้ำหมาดๆออกจากตะแกรงฮีตเตอร์เพราะผมชอบให้มันแห้งเร็วแบบนั้น ที่จริงมีอันเดอร์แวร์ด้วยไม่อยากบอกมาก-เขิน)และเตรียมจะอุ่นอาหารให้เธอเพราะเกรงว่าจะหิว ซึ่งเธอปฏิเสธไปหากแต่หยิบแชมเปญที่เตรียมมาเปิดฉลองกัน เธอว่าเธอขอบคุณผมมากๆที่ช่วยสอนเธอในเรื่องต่างๆตอนที่อยู่ค่ายอพยพ กระทั่งตอนหลังเธอได้รับการเลือกให้เป็นซิติเซ่นที่อเมริกาโดยได้มาเรียนหนังสือระยะหนึ่งแล้ว ระหว่างนั้นก็คิดอยากจะมาขอบคุณผมตลอด-คิดว่าจะมาด้วยตัวเองดีกว่าจะโทรมา เพราะจะได้เซอร์ไพร้ส์แต่ก็หลงทางเหตุการณ์เลยต้องลงเอยแบบนั้น
ผมกำลังงงว่าจะเอาไงดีกับเหตุการณ์ที่ว่า...จะให้เธอไปนอนที่อื่นเดี๋ยวก็จะหาว่าขับไล่ไสใส่ จะไปฝากเพื่อนผู้หญิงก็เกรงว่าดึกหิมะตกหนักแบบนั้นมันจะเหมาะหรือไม่ และเจ้ากรรม...เธอดันเอาคาสเซ็ทต์เทป(ยุคนั้นใช้แบบนั้น)เพลง Because I Love You มาเปิดอีก...คราวนี้เธอบอกผมว่ายังเต็มใจจะสอนเธอ ยังเห็นเธอเป็นนักเรียนของผมอยู่หรือเปล่า?
ตกลงบทเรียนการสอนจูบแบบเฟรนช์คิสจึงเกิดขึ้น ผมไม่รู้ว่าตัวเองสอนได้ดีหรือเลวเพียงใด แต่เธอให้ผมสอนอยู่พักหนึ่งจึงเข้าใจว่าอะไรเป็นอะไร และลามปามไปถึงการวางมือวางไม้ว่าควรจะวางอย่างไรระหว่างเฟรนช์คิสนั้น...ผมว่าคืนนั้นแทมมี่ได้เรียนรู้แล้วว่าอะไรเป็นอะไรมากมาย มันเป็นคืนแห่งการเรียนรู้ของแทมมี่เพื่อจะใช้ชีวิตต่อไปในโลกตะวันตกตามความเหมาะสม
แทมมี่อยู่กับผมอีกสองคืนก่อนจะกลับไปเรียนต่อจนจบ วันที่เธอรับปริญญาผมไม่ได้ไปร่วมงาน เพราะตอนนั้นผมข้ามไปทำงานที่ออสเตรเลียโดยไปประจำอยู่ที่เมืองเพิร์ธทางตะวันตกของออสเตรเลีย ส่วนแทมมี่นั้นตอนหลังได้ข่าวว่าแต่งงานกับวิศวกรอเมริกันและมีลูกน่ารักสองคน
เวลาผ่านไปเกือบสามทศวรรษแทมมี่กลายเป็นแม่ม่ายสามีตายลูกชายทั้งคู่ก็ทำงานในยุโรปคนหนึ่งเอเชียคนหนึ่ง และในวันที่เธออายุเฉียด 50 เข้าไปแล้วตอนนี้เธอยังสวยพริ้งแทบไม่ต่างจากวันแรกๆที่ผมพบเธอ เราคุยทางไกลกันสะดวกขึ้นด้วยระบบไลน์และเธอมักจะพูดเล่นๆผ่านไลน์ว่า ยังอยากฟังเพลง Because I Love You เหมือนคืนที่อยู่ในแมรี่แลนด์
“You’re kidding me” ผมเย้าเธอ
“I’m serious” เธอตอบหนักแน่น
ผมปล่อยให้เวลาผ่านไปเรื่อยๆ...บางที ความหลังมันก็มีที่มีทางของมัน และมันจะสวยงามในเวลาที่เหมาะสมเท่านั้น ปัจจุบันไม่จำเป็นต้องย่ำรอยอดีต...โลกมีการเปลี่ยนแปลงอยู่เสมอ
Pete@(hand)somewhere