..บ่อยครั้งแค่ไหนที่คุณอยู่ในที่ประชุมแสนซีเรียส ต่างคนต่างทุ่มเทแก้ปัญหาอะไรบางอย่าง ทุกคนพูดแต่เรื่องหนักสมองและปัญหาหนักๆที่แก้เท่าไหร่ก็ไม่สำเร็จ แต่แล้วจู่ๆก็มีใครคนหนึ่งกล้าพูดขึ้นมาว่า “เราจะไม่พักสมองสักสองสามนาที แล้วจิบกาแฟอุ่นๆกับคุกกี้อร่อยๆสักชิ้นหรือครับ ไม่งั้นกาแฟกับคุกกี้คงน้อยใจแย่เพราะไม่มีใครเชยชมพวกเขาเลย”
...กี่ครั้งที่คุณติดฝนอยู่ใต้ชายคาอาคารแห่งหนึ่ง แล้วมีหนุ่มหน้าตาเชยๆในออฟฟิซเดียวกันที่คุณไม่เคยคิดจะทักเขาเลย แต่เขาเดินผ่านมาพอดีพร้อมถือร่มคันเล็กๆมาด้วยและแวะรับคุณโดยให้คุณอยู่ในร่มขณะที่ร่างกายส่วนใหญ่ของเขาโดนฝนนอกพื้นที่กางร่ม และเมื่อคุณรู้สึกเขินเขากลับบอกว่า “ร่างกายผมต้องการความชุ่มฉ่ำบ้าง เพราะมันแห้งแล้งมานานแล้ว” แม้เป็นคำพูดเชยๆแต่คุณกลับรู้สึกดี
...แย่แค่ไหนที่คุณต้องดูหนังสือเตรียมสอบ วิชาโน้นก็ดูไม่ทัน วิชานี้ก็ดูไม่เสร็จ แต่แล้วจู่ๆก็มีเพื่อนคนหนึ่งเป่าลมร้อนใส่หน้ากระจกห้องแอร์ที่คุณนั่งดูหนังสือจนพื้นที่ตรงนั้นเกิดเป็นฝ้าขึ้น แล้วเขาก็ใช้นิ้ววาดรูปรอยยิ้มในฝ้าให้คุณเห็น...แม้สิ่งนั้นจะเกิดขึ้นไม่นานนักแต่ภาพนั้นกลับฝังใจคุณกระทั่งสอบเสร็จ
ตัวอย่างของสิ่งที่เกิดขึ้นข้างต้นทั้งสามเหตุการณ์นั้นคือสิ่งที่ปฏิเสธยากว่าไม่ทำให้ใครๆอารมณ์ดีขึ้นมาได้ท่ามกลางบรรยากาศหนักๆหรือเครียดๆ และจะดีมากยิ่งขึ้นหรือเปล่าถ้าคนที่สร้างสถานการณ์ดีๆแบบนั้นเป็นผู้ชายสักคนที่เต็มไปด้วยอารมณ์ขัน สามารถสร้างรอยยิ้มให้กับใครๆได้
คนทั่วไปชอบคนที่มีอารมณ์ขัน และเป็นการสร้างที่ “ถูกที่ถูกเวลา” ทั้งยัง “ไม่มากไม่น้อยเกินไป” รวมถึง “ถูกกาลเทศะ”ด้วยกันทั้งสิ้น และแน่นอนว่า ถ้าคนๆนั้นเป็นผู้ชายที่อยู่ในสายตาของผู้หญิงคนหนึ่ง(หรือหลายๆคน)ที่สนใจเขาก็ย่อมจะได้คะแนนไปเต็มๆ
ไม่แปลกที่คนที่สามารถสร้างอารมณ์ขัน หรือเรียกเสียงหัวเราะจากใครต่อใครได้จะเป็นคนที่สังคมต้องการ แต่ที่ลึกไปกว่านั้นก็คือ คนที่มีอารมณ์ขัน หรือ อารมณ์ดีนั้น ไม่ใช่สิ่งที่เกิดขึ้นมาแบบ “เรื่องบังเอิญ” เนื่องจากเรื่องแบบนี้เป็นสิ่งที่ต้องใช้เวลา สถานการณ์ และหลายสิ่งหลายอย่างที่บ่มเพาะกันขึ้นมา
นักจิตวิทยาให้ความเห็นว่า คนที่มีอารมณ์ขันนั้นเป็นคนที่ “สามารถควบคุมสถานการณ์ได้” ไม่ว่าจะเป็นสถานการณ์หนักเบา หรือเป็นเรื่องของปัญหาต่างๆที่หนักหนาเพียงใด หากเขาควบคุมได้ หรือรู้วิธีจัดการกับปัญหานั้น อีกทั้งรู้แนวทางที่จะรับมือกับปัญหานั้น ย่อมจะทำให้เขาคนนั้น “ผ่อนคลาย”
และการผ่อนคลายนี่เองที่เป็นชนวนนำไปสู่การ คิดถึงเรื่องอื่นที่อยู่เหนือปัญหา(เพราะเขาควบคุมได้แล้ว) จึงสามารถพาตัวเองไปสู่การ “มีอารมณ์ดี” และ ก้าวไปสู่ “การมีอารมณ์ขัน” ที่สะท้อนออกมาในรูปแบบต่างๆกัน เช่น มีรอยยิ้ม มีท่าทางสดชื่น กระปรี้กระเปร่า
และในรายที่มีข้อมูลเยอะๆ อ่านมาก รู้มาก หรือเผชิญปัญหามามากและรู้วิธีรับมือกับปัญหาเหล่านั้นก็ย่อมจะมี “ข้อมูลเสริม” ที่อาจจะออกมาในรูปของเรื่องตลก หรือมุกสนุกๆ กระทั่งถ้อยคำหรืออารมณ์ที่สื่อถึงความสนุกสนาน ที่เมื่อแสดงออกแล้วทำให้รับรู้ถึงความสุข ความมีอารมณ์ขันของเขาออกมาได้ชัดเจน
โลกตะวันตกมองว่าผู้ชายที่สามารถคุยสนุก มีอารมณ์ขัน ย่อมดึงดูดผู้คนให้เข้าหาโดยอัตโนมัติ พอกับเป็นแม่เหล็กของการชุมนุมโดยไม่รู้ตัว
นักฟังที่เป็นชายนั้นอาจใช้เวลาสักพักกว่าจะหัวเราะหรือรื่นเริงในสิ่งที่ผู้ชายคนอื่นพูดถึง หรือสื่อถึง แต่ผู้หญิงนั้นสามารถรับรู้ถึงความรื่นเริง สนุกสนาน ได้เร็วกว่า และเปิดใจกว่าผู้ชายทำให้พวกเธอเป็นนักฟังที่ดี และรู้สึกสนุกกับเรื่องขำๆได้เร็วกว่า และนี่เองคือสิ่งที่ทำให้ผู้หญิงอยากฟังเรื่องราวต่างๆที่ทำให้ชีวิตพวกเธอมีความสุข (อาจรวมไปถึงเรื่องตลกต่างๆด้วย)
(หมายเหตุ หากเป็นเรื่องขำ เรื่องตลก ที่อยู่ในระดับที่ผู้ชายด้วยกันเท่านั้นชอบฟัง เช่น เรื่องสองแง่สองง่าม หรือเรื่องหมิ่นเหม่นั้นถือเป็นข้อยกเว้น ที่ผู้หญิงอาจจะไม่ชอบฟัง แต่กลับเป็นที่ชื่นชอบของผู้ชายซะงั้นก็มี...)
สรุปง่ายๆก็คือ คนที่สามารถนำเรื่องขำๆ หรือเรื่องตลกมาสู่วงสนทนาได้นั้น โดยพื้นฐานแล้วย่อมเป็นคนที่ควบคุมสถานการณ์ได้ดีระดับหนึ่งจนถึงขั้นที่ตัวเขาเองก็ผ่อนคลายแล้ว จึงมีความมั่นใจ และความมั่นใจนั้นสะท้อนออกมาทางรูปแบบของความมีอารมณ์ดี ตลอดจนมีอารมณ์ขัน หรือเล่าเรื่องตลกได้อย่างสบายใจ
มาถึงตรงนี้คงไม่ต้องบอกซ้ำแล้วนะครับว่า ทำไมผู้ชายที่มีอารมณ์ขันจึงดูหล่อขึ้นมาได้ในสายตาของสาวๆ ....ในความเป็นจริงนั้นเขาไม่เพียงนำความผ่อนคลายมาให้เท่านั้น แต่ยังสะท้อนถึง “ความมั่นใจ”ในตัวเองโดยไม่รู้ตัวด้วย....ไม่แปลกที่ธรรมชาติเลือกให้ผู้หญิงมักจะมองหาผู้ชายที่มีอารมณ์ขันเสมอ...ยิ่งถ้าชายคนนั้นมีแต้มต่อของรูปร่างหน้าตา การศึกษา ฐานะ ด้วย ก็ยิ่งทำให้ออปชั่นความหล่อดูจะครบเครื่องจริงๆ